มัดมาตา หมู่บ้านโบราณ คุณจะได้พบกับ บ้านถ้ำ หรือวิถีชีวิตของพวกเขา สถานที่พักสุดแหวกแนว ที่ไม่เหมือนใครในโลก!
เมืองมัดมาตา ตั้งอยู่ในภาคใต้ของประเทศตูนิเซีย เป็นเมืองโบราณ ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นด้วยบ้านเรือนที่ถูกแกะสลักลงไป ในภูเขาหินทราย เมืองนี้มีประวัติศาสตร์มานาน นับหลายพันปี เชื่อกันว่า ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวเบอร์เบอร์โบราณ ในช่วงศตวรรษที่ 9 [1]
บ้านถ้ำในมัดมาตา ถูกสร้างขึ้นโดยการขุดเจาะ ลงไปในหินทรายอ่อนๆชาวเบอร์เบอร์ พื้นเมืองกลุ่มน้อย ในแอฟริกาเหนือ เป็นผู้ริเริ่มสร้างที่อยู่อาศัยแบบนี้ พวกเขาสร้างหลุมขนาดใหญ่ ลึกลงไปในพื้นดิน เว้นพื้นที่ตรงกลางไว้ เป็นปล่องโล่ง ทำหน้าที่เป็นพื้นที่ส่วนกลาง จากนั้นเจาะห้องต่างๆ โดยรอบปล่องไว้ เป็นที่อยู่อาศัย [2]
การออกแบบถ้ำแห่งนี้ ถือว่าเป็นความชาญฉลาดอย่างหนึ่ง เพราะช่วยให้ชาวเบอร์เบอร์ สามารถรับมือกับสภาพอากาศร้อนจัด ในทะเลทราย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผนังถ้ำหนาๆ
ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน ให้เย็นสบาย และปล่องกลาง ช่วยระบายอากาศร้อนออกไป นอกจากนี้ บ้านถ้ำยังช่วยป้องกันผู้อยู่อาศัย จากภัยอันตรายจากภายนอก เช่น การโจมตีจากชนเผ่าอื่นๆ
ปัจจุบันเหลือบ้านถ้ำที่มัดมาตา ได้รับการอนุรักษ์ไว้ ประมาณ 1,200 หลังเท่านั้น แต่มีเพียงไม่กี่หลัง ที่ชาวบ้าน ยังคงอาศัยอยู่จริง ส่วนใหญ่ถูกดัดแปลง เป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
หากลองนึกภาพย้อนไป 50 ปีก่อน ผู้มาเยือนมัดมาตา จะไม่เห็นอะไรเลยบนพื้นดิน เพราะทุกอย่างถูกสร้างไว้ใต้ดิน ผู้คนอาศัยอยู่ในบ้านถ้ำ ใช้ชีวิตทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมดภายในลานบ้านใต้ดิน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางของครอบครัว
แต่ในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป บ้านบนพื้นดิน เริ่มทยอยสร้างขึ้นใหม่ แต่บ้านถ้ำเหล่านี้ ยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่ตราตรึง ถ้าพูดถึงชื่อมัดมาตา (Matmata) ก็คงจะนึกถึงบ้านถ้ำเป็นอันดับแรก แต่ คัปปาโดเกีย ก็มีบ้านถ้ำอยู่เช่นกัน
ที่มา: สำรวจบ้านในถ้ำของชาวเบอร์เบอร์ ที่เมืองมัดมาตา [3]
มัดมาตาถูกโอบล้อมด้วย ทัศนียภาพที่สวยงาม บนชายฝั่งตะวันออกและทราย ให้ความเปรียบคล้ายๆ กับโอเอซิส ที่เชื่อมต่อเมืองสำคัญ ได้แก่ กาบส์ (Gabes) เกบิลิ (Kebili) เมเดนีน (Medenine)
และทาทาวีน (Tataouine ) เข้าไว้ด้วยกัน และที่นี่อาจเป็นตัวอย่าง ของการสืบทอดอารยธรรม ที่เก่าแก่ของชาวบาร์เบอร์ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้สานต่อ หรือเข้าใจมากขึ้น
ภาพยนตร์เรื่อง Star Wars: Episode IV - A New Hope (1977) ถ่ายทำบางฉากในบ้านถ้ำ โดยใช้สถานที่ในหมู่บ้านมัดมาตา ประเทศตูนิเซีย ซึ่งมีฉากที่โด่งดังที่สุดคือ ฉากบ้านของลุค สกายวอล์คเกอร์ ได้ถ่ายทำในบ้านถ้ำที่แท้จริง ฉากเพิ่มเติม
สรุป มัดมาตา เปิดประตูสู่ดินแดนใต้ดิน ผจญภัยไปกับบ้านถ้ำ สร้างความทรงจำ ที่คุณยากจะลืมเลือนมันไป ให้โอกาสตัวเองพบเจอสิ่งใหม่ๆ บ้าง
[1] wikipedia. (April 22, 2024). Matmata, Tunisia. Retrieved from wikipedia
[2] blockdit. (February 13, 2023). Matmata ประเทศตูนิเซีย. Retrieved from blockdit
[3] kindconnext. (April 27, 2023). สำรวจบ้านในถ้ำของชาวเบอร์เบอร์ ที่เมืองมัดมาตา. Retrieved from kindconnext
บอยลิ่งเลค (Boiling Lake) ตั้งอยู่บนเกาะโดมินิกา ประเทศคอโมโรส เป็นหนึ่งในทะเลสาบน้ำเดือด ที่ระอุอยู่ตลอดเวลา ควรระมัดระวังในการท่องเที่ยว
ทะเลสาบบอยลิ่งเลค เกิดจากใต้ดินของภูเขาไฟ โดยใต้ทะเลสาบนี้ มีปล่องภูเขาไฟ ที่ยังคุกรุ่นอยู่ ความร้อนจากแมกมาใต้ดินร้อนจัด จนทำให้ความร้อน แทรกตัวขึ้นมาที่น้ำ ส่งผลให้น้ำในทะเลสาบ เดือดพลุ่งพล่าน อยู่ตลอดเวลา อุณหภูมิน้ำผิวทะเลสาบ สามารถสูงถึง 92°C ถึง 100°C เลยทีเดียว [1] ถือว่าร้อนมาก หากได้สัมผัสอาจไหม้ได้
นอกจากความร้อนแล้ว บอยลิ่งเลคยังมีฟองก๊าซ พวยพ่นขึ้นมา จากพื้นผิวน้ำอยู่เสมอ ฟองก๊าซเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ และไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์นี้ มีพิษร้ายแรงต่อมนุษย์ สามารถอ่านต่อที่ nongplarpapern
บอยลิ่งเลคมีบ่อน้ำพุร้อน หรือ ทะเลสาบร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น โดยมีความกว้าง ประมาณ 60-76 เมตร และมีความลึกประมาณ 59 เมตร ขนาดมหึมานี้ ทำให้มันกลายเป็นทะเลสาบร้อน ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจาก Frying Pan ในประเทศนิวซีแลนด์ [2]
อากาศโดยรอบ ทะเลสาบบอยลิ่งเลค ค่อนข้างร้อนชื้น และมีกลิ่นกำมะถัน โชยมาแตะจมูก อยู่ตลอดเวลา ไอน้ำพวยพุ่ง จากผิวน้ำทะเลสาบ ลอยเป็นหมอกควัน ปกคลุมหุบเขา บรรยากาศโดยรอบ เต็มไปด้วยความร้อนระอุ
ซึ่งคุณจะต้องระมัดระวัง เมื่อเข้าใกล้บอยลิ่งเลค อาจมีอันตรายแฝงจาก ร่องแตกเล็กๆ บนพื้นดิน ทำให้มีน้ำร้อนพุ่ง ออกมาได้ทุกเมื่อ สร้างอันตราย ต่อผู้ที่เข้าใกล้ ควรระมัดระวัง
คำเตือน บรรยากาศที่ร้อนระอุ และอันตรายของบอยลิ่งเลค ไม่ได้เหมาะกับทุกคน ผู้ที่ไปเยือน ควรมีสุขภาพแข็งแรง ศึกษาข้อมูลและเตรียมพร้อมรับมือ กับสภาพแวดล้อม ที่รุนแรง
ที่มา: Boiling Lake ทะเลสาบร้อน นรกแห่งโดมินิกา [3]
การเดินทางไปบอยลิ่งเลค ต้องเดินป่าเป็นระยะทางกว่า 13 กิโลเมตร ผ่านเส้นทาง ที่ค่อนข้างทุรกันดาร เต็มไปด้วยป่ารกทึบ ช่องแคบหุบเขา และธารน้ำร้อน นักท่องเที่ยว ควรเตรียมสภาพร่างกาย ให้พร้อม สำหรับการทดสอบ ความอึดทนนี้
แม้การเดินทาง จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เมื่อนักท่องเที่ยวได้สัมผัส กับความงดงาม ของทะเลสาบเดือดแห่งนี้ ความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมด ก็คุ้มค่า คล้ายๆ กับมีอัญมณีที่ซ่อนตัว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ความร้อนระอุ สร้างบรรยากาศที่ทั้งน่าค้นหา และน่าตื่นตาตื่นใจ
สรุป บอยลิ่งเลค อาจเป็นสถานที่เบิกเนตร สำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย หรือต้องการลองสิ่งแปลกใหม่ ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยความท้าทาย น่าตื่นเต้นซ่อนอยู่
[1] wikipedia. (October 3, 2022). ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟ. Retrieved from wikipedia
[2] realmetro. (February 2, 2022). ทะเลสาบเดือด Boiling Lake. Retrieved from realmetro
[3] nextsteptv. (January 23, 2018). Boiling Lake ทะเลสาบร้อน นรกแห่งโดมินิกา. Retrieved from nextsteptv
ลากูนาเดบัย ต้องยกย่องให้เป็นทะเลสาบ อีกหนึ่งที่ ที่ผู้คนนิยมมาเที่ยว ไม่ว่าจะวันหยุด หรือวันธรรมดา คนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มักให้ความสนใจกับที่นี่ พวกเขาบอกว่า ที่นี่ก็เปรียบเสมือน เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของพวกเขา
ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของกรุงมะนิลา ล้อมรอบด้วยจังหวัดลากูนา ทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงใต้ จังหวัดรีซัลทางทิศเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ และเมโทรมะนิลา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ [1]
ลากูนาเดบัย มีพื้นที่ผิว 911–949 ตารางกิโลเมตร โดยมีความลึกเฉลี่ยประมาณ 2.8 เมตร และมีระดับความสูง จากระดับน้ำทะเล ประมาณหนึ่งเมตร ทะเลสาบมีรูปร่างเหมือนตีนกา มีคาบสมุทรสองแห่งยื่นออกมา
จากชายฝั่งทางเหนือ ระหว่างคาบสมุทรเหล่านี้ ส่วนตรงกลางจะปกคลุม แอ่งภูเขาไฟลากูนาขนาดใหญ่ กลางทะเลสาบ มีเกาะตาลิมขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ภายใต้เขตเทศบาลบินังโกนัน และคาร์โดโน
ที่มา: Laguna de Bai [2]
ลากูนาเดบัยมีความสำคัญ ต่อระบบนิเวศ และเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ เป็นอย่างมาก ทะเลสาบแห่งนี้เป็นแหล่งทำการประมง แหล่งน้ำสำหรับการเกษตร แหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค และเป็นท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ
แต่หารู้ไม่ว่า ลากูนาเดบัยเผชิญกับภัยคุกคาม หลายประการ มลพิษจากการเกษตร การพัฒนาเมือง การทำประมงมากเกินไป และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ของทะเลสาบอีกด้วย อ่านความน่าสนใจต่อได้ที่ LAW for Asean
จากที่เรารู้ว่า ลากูนาเดบัยนั้น ล้อมรอบด้วยเมือง และจังหวัดต่างๆ มากมาย จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยม มีกิจกรรมให้ทำอย่างเพลิดเพลิน และมีสถานที่น่าสนใจ ให้ผู้มาเยือน ดังนี้
อาหารประจำชาติฟิลิปปินส์ ที่แท้จริงนั้นมีหลายเมนู ขึ้นอยู่กับว่านิยาม อาหารประจำชาติ ของแต่ละคนคืออะไร แต่มีสองเมนูที่มักถูกยกย่อง ให้เป็นอาหารประจำชาติฟิลิปปินส์เสมอ นั่นคือ
อโดโบ (Adobo) : เมนูนี้โด่งดังไปทั่วโลก เป็นการนำเนื้อสัตว์ หรือ อาหารทะเลมา หมักกับน้ำส้มสายชู กระเทียม ใบกระวาน และพริกไทยดำ เคี่ยวจนเปื่อยนุ่ม ให้เข้าเนื้อ นิยมทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ
คาลเดเรตา (Calderata) : สตูว์เนื้อ หรือ ไก่ในซอสมะเขือเทศเข้มข้น มีกลิ่นอายมาจากอิทธิพลสเปน นิยมทานคู่กับขนมปัง เป็นอาหารที่มักทำทานกันในครอบครัว
ที่มา: อาหารยอดฮิตในฟิลิปปินส์ [3]
สรุป ลากูนาเดบัย มีความหลากหลาย รอบๆ ทะเลสาบ ก็ยังมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ ลองศึกษาที่ตรงใจ แล้วบินไปฟิลิปปินส์กันได้เลย สิ่งสนุกยังรอคุณอีกเพียบ
[1] wikiwand. ลากูนาเดบัย. Retrieved from wikiwand
[2] wikipedia. (November 13, 2022). Laguna de Bai. Retrieved from wikipedia
[3] wtravel. (February 22, 2020). อาหารยอดฮิตในฟิลิปปินส์. Retrieved from wtravel
ทะเลสาบเนตรอน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ของประเทศแทนซาเนีย บนผืนแผ่นดินแอฟริกา ใจกลางหุบเขาอันแห้งแล้ง ปกคลุมด้วยความลี้ลับ อันตราย และความงามสะกดสายตา
ทะเลสาบเนตรอนมีสภาพเป็นด่างจัด pH ของน้ำอยู่ที่ 9 ถึง 10.5 ความเป็นด่างที่สูง coupled กับอุณหภูมิ ของน้ำที่ร้อนจัด สูงถึง 60 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นอันตรายต่อสัตว์ เกือบทุกชนิด สัตว์ที่พลาดตกลงไป ในทะเลสาบจะตาย
และร่างของมัน จะถูกเกลือในน้ำเกาะ จนกลายเป็นหิน ปรากฏการณ์นี้เอง ที่ทำให้ทะเลสาบเนตรอน ได้ฉายาว่า "ทะเลสาบแห่งความตาย" ที่ทุกคนต่างรู้จัก ในชื่อเสียงเรียงนามนี้
ที่มา: Lake Natron [1]
นกฟลามิงโก้ เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่สามารถอาศัยอยู่ใน ทะเลสาบเนตรอน ได้เป็นหลัก โดยมีประชากรมากกว่า 1 ล้านตัว นกเหล่านี้หากิน สาหร่ายสไปรูลินา (Spirulina) ชนิดหนึ่ง ที่มีสีแดง ซึ่งอาศัยอยู่ บริเวณผิวน้ำของทะเลสาบ สาหร่ายชนิดนี้ มีสารเคมีที่ชื่อว่า เบตาแคโรทีน (Beta-carotene) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ ขนนกฟลามิงโก้ มีสีแดงอมชมพู
นกฟลามิงโก้มีกลไกพิเศษ ที่ช่วยให้สามารถทนต่อ สภาพแวดล้อมที่รุนแรง ของทะเลสาบเนตรอนได้ ซึ่งขาที่ยาวของมัน ช่วยให้ยืนในน้ำเกลือ ที่ร้อนจัดได้ โดยไม่ต้องสัมผัสกับพื้นผิว และมีต่อมเกลือ อยู่เหนือจมูก ช่วยขับเกลือส่วนเกิน ออกจากร่างกาย
ที่มา: แหล่งน้ำที่สังหารเกือบทุกชีวิต ยกเว้นแบคทีเรีย และนกฟลามิงโก้ [2]
เมื่อสภาพน้ำทะเลสาบเนตรอน เป็นด่างสูง จึงทำให้มีซากนก ซากปลา จำนวนมาก โดยเฉพาะนกชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่นกฟลามิงโก้ เมื่อสัตว์เหล่านี้ตายลง ร่างของมันจะถูกเกลือ ในน้ำเกาะจนแห้งแข็ง
กลายเป็นเหมือน รูปปั้นสัตว์ ที่คงทนอยู่หลายปี ซากสัตว์พวกนี้ จึงกลายเป็นหนึ่งในจุดเด่น ของทะเลสาบเนตรอน ดึงดูดนักท่องเที่ยว และนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก ให้มาเยี่ยมชม
หากสนใจ อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ Blockdit
แร่เนตรอนที่พบ ในทะเลสาบเนตรอน ประกอบไปด้วย โซเดียมคาร์บอเนต โซเดียมไบคาร์บอเนต โซเดียมคลอไรด์ และโซเดียมซัลเฟต ซึ่งแร่ธาตุมีคุณสมบัติพิเศษ ที่ช่วยดูดซับความชื้น ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และรักษาสภาพร่างกาย จึงถูกชาวอียิปต์โบราณ นำมาใช้ในการทำ มัมมี่ นั่นเอง [3]
เกลือเนตรอน มีบทบาทสำคัญ ในกระบวนการทำมัมมี่ ช่วยให้ร่างกายคงสภาพไว้ ได้ยาวนานหลายพันปี การค้นพบมัมมี่ในอียิปต์โบราณ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ เรียนรู้เกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์ โรคภัยไข้เจ็บ และความเชื่อทางศาสนา ของชาวอียิปต์โบราณ
สรุป ทะเลสาบเนตรอน ยังเป็นที่เที่ยวยอดนิยม สำหรับผู้ที่สนใจ ในความงามอันแปลกตา และสภาพแวดล้อม ที่รุนแรงของโลกธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การไปเยือนทะเลสาบ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ด้านความปลอดภัยทั้งหมด จากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
[1] wikipedia. (June 17, 2024). Lake Natron. Retrieved from wikipedia
[2] fishingthai. (2022-2024). แหล่งน้ำที่สังหารเกือบทุกชีวิต ยกเว้นแบคทีเรีย และนกฟลามิงโก้. Retrieved from fishingthai
[3] facebook. (January 31, 2022). ถูกดอง"ไว้ด้วยกรดตามธรรมชาติ ในมดลูกของแม่มัมมี่. Retrieved from facebook
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ นิยมมา ทะเลสาบเบลาเซ (Blausee) เพื่อมาเดินเล่น ปิกนิก ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ทัศนียภาพที่งดงาม ราวกับภาพฝัน และเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป ทำให้ที่นี่กลายเป็น สวรรค์ของนักถ่ายภาพ
ทะเลสาบเบลาเซ ตั้งอยู่ในหุบเขา Kander เขต Berner Oberland ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นทะเลสาบขนาดย่อม ที่มีน้ำสีฟ้ามรกต [1] ใสสะอาดราวกับผลึกแก้ว สะท้อนเงาของต้นไม้น้อยใหญ่ ที่มักเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ความงามอันไม่มีที่สิ้นสุด ของทะเลสาบแห่งนี้ ทำให้ใครๆ ก็อยากมาสัมผัสบรรยากาศ อันน่าอัศจรรย์ใจดูสักครั้ง
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ ทะเลสาบเบลาเซ นั้นช่างน่าสนใจและโรแมนติก ว่ากันว่า ในอดีตมีหญิงสาวผู้สวยงาม อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียง เธอมีความรักกับชายหนุ่ม รูปงามคนหนึ่ง แต่โชคชะตากลับเล่นตลก ชายหนุ่มล้มป่วย
และเสียชีวิตด้วยโรคร้าย หญิงสาวเสียใจมาก จนตัดสินใจกระโดดลงไป ในทะเลสาบ เพื่อสิ้นชีวิต แต่ด้วยความรักที่มีต่อเธอ เทพเจ้าจึงบันดาล ให้ดวงตาสีฟ้าของเธอ เปลี่ยนเป็นสีน้ำทะเลสาบ กลายเป็นสีฟ้ามรกต ที่งดงาม ดังที่เราเห็นในปัจจุบัน
ที่มา: ที่เที่ยว สวิตเซอร์แลนด์ ตำนานรัก ทะเลสาบสีฟ้า [2]
ทะเลสาบเบลาเซมีการระลึกถึงหญิงสาว โดยการสร้างรูปปั้นสำริด ขนาดเท่าตัวจริงของเธอ รูปปั้นนี้ตั้งอยู่ใต้น้ำ หากมองจากจุดชมวิวบนสะพานไม้ จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน และนี่ก็เป็นอีก 1 จุด ที่น่าสนใจของทะเลสาบแห่งนี้ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ adaymagazine
สีฟ้าของทะเลสาบเบลาเซ เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ ที่เรียกว่า การกระเจิงของแสง (Light Scattering) แสงอาทิตย์ประกอบไปด้วย แสงหลายสี เมื่อแสงส่องกระทบ กับโมเลกุลน้ำ ในทะเลสาบ แสงสีน้ำเงินจะถูกกระจายออกไป มากกว่าแสงสีอื่นๆ ส่งผลให้เรามองเห็น ทะเลสาบเป็นสีฟ้า [3]
ปัจจัยเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดทะเลสาบสีมรกต มีสีฟ้าสดใสขึ้นมานั่นเอง
เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น. และมีอัตราค่าเข้าชม ดังนี้
10 ฟรังก์สวิส (CHF) ในวันหยุดสุดสัปดาห์
5 ฟรังก์สวิส (CHF) ในวันหยุดสุดสัปดาห์
สรุป ทะเลสาบเบลาเซ ไม่ว่าจะเชื่อตามตำนาน หรือ คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มีความงดงามจนน่าทึ่ง ดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้มาเยือนได้อย่างดี
[1] traveloka. (May 4, 2024). Lake Blausee ทะเลสาบสีฟ้าใส ใจกลางป่าเขา. Retrieved from traveloka
[2] trueid. (December 13, 2021). ที่เที่ยว สวิตเซอร์แลนด์ ตำนานรัก ทะเลสาบสีฟ้า. Retrieved from trueid
[3] swissstudy. (June 24, 2024). เที่ยวชมทะเลสาบเบลาเซ (Blausee) ทะเลสาบน้ำใสแจ๋ว. Retrieved from swissstudy
ทะเลสาบโมโน ดินแดนมหัศจรรย์ ไม่ได้มีดีแค่ความแปลกตา แต่ยังเป็น แคปซูลเวลา เก็บรักษาซากดึกดำบรรพ์ ของสัตว์นานาชนิด นักวิทยาศาสตร์ใช้ทะเลสาบแห่งนี้ ศึกษาสภาพภูมิอากาศในอดีต
ทะเลสาบโมโนเป็นทะเลสาบน้ำเค็ม ที่ตั้งอยู่ในโมโนเคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นทะเลสาบปลายทาง ในแอ่งเอนดอร์เฮอิก หมายความว่า ไม่มีทางออกสู่มหาสมุทร ส่งผลให้น้ำในทะเลสาบ มีความเค็มสูงมาก [1]
ทะเลสาบโมโนโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยทูฟา หินปูนขนาดมหึมา ที่โผล่พ้นผิวน้ำ เรียงรายประดับประดา เกาะแก่งภายในทะเลสาบ ราวกับปราสาทหินโบราณ การก่อตัวอันน่าทึ่งนี้ เกิดจากฝีมือของสาหร่าย สายพันธุ์พิเศษ ที่อาศัยอยู่ในน้ำทะเลสาบ สาหร่ายเหล่านี้ ทำหน้าที่ดึง แคลเซียมคาร์บอเนต ออกมาจากน้ำ
เมื่อเวลาผ่านไป แคลเซียมคาร์บอเนต สะสมตัวทับซ้อนกัน กลายเป็นหินปูนทูฟา ที่มีรูปร่างแปลกตา คล้ายดอกเห็ด หอคอย หรือแม้แต่ปราสาท ทิวฟาใน ทะเลสาบโมโน มีหลากหลายรูปทรง สีสัน และขนาด บางแห่งสูงเสียดฟ้า บางแห่งเรียงราย ต่อเนื่องกันเป็นแนวยาว
นอกจากทิวฟา อันโด่งดังแล้ว ทะเลสาบโมโนยังเป็นที่อยู่ อาศัยของนกนานาชนิด อย่างเช่น นกนางนวลแคลิฟอร์เนีย นกนางนวลทะเลสาบ นกกระสา เป็นต้น ซึ่งต่างหากินและทำรังบนทิวฟาที่นี่ เสียงร้องของนกนางนวล ดังก้องไปทั่วทะเลสาบ สร้างบรรยากาศที่คึกคัก มีชีวิตชีวา [2]
และยังคงมีสัตว์น้ำ หายากหลายชนิด อาศัยอยู่เช่นกัน หนึ่งในนั้นคือ กุ้งน้ำเกลือ สัตว์น้ำชนิดพิเศษ ที่ไม่สามารถพบได้ ที่ไหนในโลก กุ้งเหล่านี้มีบทบาทสำคัญ ในระบบนิเวศของทะเลสาบ เป็นอาหารให้นกน้ำและสัตว์อื่นๆ [3]
ความหลากหลายทางชีวภาพ ของทะเลสาบโมโน แสดงให้เห็นถึงความสมดุล ของระบบนิเวศที่สมบูรณ์ การมีอยู่ของนก และสัตว์น้ำเหล่านี้ เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า ทะเลสาบโมโนมีสุขภาพดี และควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ให้นานที่สุด คลิกอ่านต่อได้ที่ Pantip
สรุป ทะเลสาบโมโน ขึ้นชื่อในเรื่องระบบนิเวศ ที่สมบูรณ์ หากต้องการสัมผัสธรรมชาติ นี่ก็อาจเป็นอีกสถานที่ ที่คุณต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต
[1] facebook. (November 25, 2022). ทะเลสาบโมโน’ ที่มีความเค็มกว่าน้ำทะเลทั่วไปกว่า 2 เท่า. Retrieved from facebook
[2] realmetro. (April 28, 2021). จุดพักปีกของนกอพยพ. Retrieved from realmetro
[3] facebook. (March 16, 2021). Mono Lake ทะเลสาบแสนเหงา. Retrieved from facebook
ทะเลสาบฮิลเลียร์ ตั้งอยู่บนเกาะมิดเดิล (Middle Island) ทางตะวันตกเฉียงใต้ ของประเทศออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในทะเลสาบสีชมพู ที่โด่งดังพอสมควร มักดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลงใหล
ค้นพบครั้งแรกโดย กัปตันแมทธิว ฟลินเดอร์ส (Matthew Flinders) นักเดินเรือ และนักทำแผนที่ชาวอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1802 (พ.ศ. 2345) ขณะที่เขาขึ้นไปยังจุดสูงสุด ของเกาะมิดเดิล
เขาได้บันทึกการค้นพบนี้ไว้ ในบันทึกการเดินทางของเขา แต่ไม่ได้อธิบายถึงสีชมพูของน้ำ จนกระทั่งมีการสำรวจเพิ่มเติม ในศตวรรษที่ 20 จึงทราบสาเหตุ ที่ทำให้ทะเลสาบมีสีชมพู
ที่มา: เที่ยวออสเตรเลีย ทะเลสาบสีชมพู Hiller lake [1]
ทะเลสาบฮิลเลียร์ จะมีสีชมพูสดใส อย่างหวานแหวว เกิดจากสาหร่ายชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Dunaliella salina สาหร่ายชนิดนี้ สามารถเจริญเติบโตได้ดี ในสภาวะที่มีความเค็มสูง โดยทะเลสาบฮิลเลียร์ มีระดับความเค็มของน้ำสูงมาก คล้ายกับระดับความเค็มของ ทะเลเดดซี ทำให้เหมาะแก่การเจริญเติบโต
และ Dunaliella salina สังเคราะห์แสง เพื่อสร้างพลังงาน แต่แทนที่จะผลิตคลอโรฟิลล์สีเขียว สาหร่ายชนิดนี้ กลับผลิตเม็ดสีแคโรทีนอยด์ ซึ่งมีสีแดง เมื่อมีจำนวนมาก อาศัยอยู่ในทะเลสาบ แสงสีแดงจากเม็ดสีแคโรทีนอยด์ จึงสะท้อนกลับขึ้นมา ทำให้เราเห็นทะเลสาบเป็นสีชมพูนั่นเอง
ที่มา: Hiller Lake หรือทะเลสาบสีชมพู [2]
ความเข้มข้นของเกลือ ในน้ำทะเลสาบฮิลเลียร์ สูงกว่าน้ำทะเลทั่วไปถึง 10 เท่า สาเหตุหลักๆ มาจากภูมิประเทศของเกาะมิดเดิล เกาะแห่งนี้ประกอบไปด้วย ชั้นเกลือหนา เมื่อฝนตก น้ำฝนจะซึมผ่านชั้นเกลือ ละลายเกลือออกมา และไหลลงสู่ทะเลสาบ ทำให้ทะเลสาบ มีปริมาณเกลือสะสมสูง
ทะเลสาบสีชมพูส่วนใหญ่ ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ ว่ายน้ำได้เหมือนทะเลสาบทั่วไป ระดับเกลือที่สูง ในทะเลสาบเหล่านี้ จะช่วยให้ลอยตัวได้ง่าย โดยที่เราไม่ต้องออกแรงว่ายน้ำ แต่ก่อนตัดสินใจลงเล่นน้ำ ควรระมัดระวังบางประการ เช่น
การเดินทางไปยังทะเลสาบแห่งนี้ ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเป็นเกาะขนาดเล็ก และทะเลสาบยังล้อมรอบไปด้วยหาดทราย ป่าเปเปอร์บาร์ก (paperbark) และยูคาลิปตัส (eucalyptus) อย่างแน่นหนา ทำให้การไปถึงทะเลสาบโดยส่วนใหญ่ เป็นการไปด้วยเฮลิคอปเตอร์ [3]
โดยทั่วไป บรรยากาศรอบๆ ทะเลสาบฮิลเลียร์ถือว่าเป็นอีกสถานที่ ที่มีความไพรเวต ห่างไกลจากชุมชน ประกอบกับการจำกัดการเข้าถึง ส่งผลให้บริเวณโดยรอบ มีความเงียบสงบ อากาศร่มรื่น เย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนแบบจริงๆ และยังสัตว์ป่าบางชนิดให้เห็น เช่น นก กิ้งก่า งู สัตว์เหล่านี้ส่วนใหญ่ ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
แต่จะมี 2 ช่วงที่บรรยากาศ อาจเปลี่ยนแปลง
สรุป ทะเลสาบฮิลเลียร์ ปรากฏการณ์แห่งทะเลสาบสีชมพู ให้ภาพที่มองไปทางไหนก็หวาน เหมาะกับคู่รักที่จับมือกันมาเดท แต่การเดินทางค่อนข้างยาก แต่ถือว่าเป็นสถานที่เที่ยว ที่ให้ประสบการณ์ดี
[1] onmywaytrip. เที่ยวออสเตรเลีย ทะเลสาบสีชมพู Hiller lake . Retrieved from onmywaytrip
[2] stkc. (July 20, 2020). Hiller Lake หรือทะเลสาบสีชมพู. Retrieved from stkc
[3] trueid. (June 7, 2022). สุด Unseen ทะเลสาบสีชมพู Lake Hillier. Retrieved from trueid
ยอดเขากลาเซียร์ อากาศบริสุทธิ์สดชื่น ไร้ซึ่งมลพิษ มีอากาศเย็นๆ ในทุกวัน ไปเที่ยวในฤดูร้อน ก็ไม่ได้สัมผัสถึงความร้อนจี๋ บรรยากาศดี ลองมาท่องเที่ยว พบกับความพิเศษได้
ยอดเขากลาเซียร์ ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ ของสวิตเซอร์แลนด์ ประกอบด้วยยอดเขา 3 ยอด ได้แก่ ยอดสัญลักษณ์ ยอดมอนต์ ฟอร์ต และ ยอดคอลง เดอ ปิยง ยอดเขาเหล่านี้ มีความสูงมากกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 เมตร จึงเป็นที่มาของชื่อ กลาเซียร์ 3000 [1]
ยอดเขาเปิดให้บริการครั้งแรก ในปี 1969 ในตอนแรกมีเพียงกระเช้าไฟฟ้า ที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองโคล เดอ ปิยง กับยอดสัญลักษณ์ ต่อมาในปี 1974 ได้มีการสร้างกระเช้าไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมต่อยอดสัญลักษณ์กับยอดมอนต์ ฟอร์ต
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยอดเขากลาเซียร์ มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ในปี 1989 ได้มีการสร้าง Peak Walk
ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่เชื่อมต่อ ระหว่างยอดสัญลักษณ์กับยอดมอนต์ ฟอร์ต สะพานนี้มีความยาว 92 เมตร สูงจากพื้นดิน 50 เมตร และเป็นสะพานแขวน ที่สูงที่สุดในยุโรป ในขณะนั้น
ที่มา: สำรวจธารน้ำแข็งที่ Glacier 3000 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ [2]
ยอดเขานี้มีทิวทัศน์ที่งดงาม โดยเฉพาะวิวเทือกเขา ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ซึ่งยอดเขาที่สามารถมองเห็นจากยอดเขากลาเซียร์ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และความโปร่งใสของท้องฟ้า แต่ยอดเขาที่โดดเด่น มีโอกาสเห็นได้บ่อย มีดังนี้
ที่มา: เช็คอิน 3 ยอดเขาดังในสวิตเซอร์แลนด์ [3]
หากต้องการเล่นสกี ฤดูหนาว (ธันวาคมถึงเมษายน) เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด หิมะบนยอดเขาจะมีมาก และสภาพอากาศจะเหมาะกับการเล่นสกี
แต่หากต้องการเดินลัดเลาะขอบป่า ฤดูร้อน (มิถุนายนถึงกันยายน) เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด อากาศอบอุ่น เส้นทางเดินป่าจะปลอดหิมะ
และต้องการชมวิวสุดคิวท์ ฤดูใบไม้ผลิ (เมษายนถึงพฤษภาคม) และฤดูใบไม้ร่วง (กันยายนถึงตุลาคม) เป็นช่วงเวลาที่ดี อากาศแจ่มใสและท้องฟ้าใส
สรุป ยอดเขากลาเซียร์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เหมาะสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติ และการผจญภัย ไม่ว่าคุณจะไปช่วงไหน แน่ใจว่าคุณจะประทับใจกับประสบการณ์ที่นี่
[1] newgenstravel. Glacier 3000. Retrieved from newgenstravel
[2] traveloka. (May 4, 2024). สำรวจธารน้ำแข็งที่ Glacier 3000 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์. Retrieved from traveloka
[3] amway. (September 16, 2021). เช็คอิน 3 ยอดเขาดังในสวิตเซอร์แลนด์. Retrieved from amway
ภูเขาเคิร์กจูเฟล (Kirkjufell) หรือที่หลายคนเรียกว่า ภูเขาโบสถ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของคาบสมุทรสไนล์แฟลซเนส ประเทศไอซ์แลนด์
ภูเขาเคิร์กจูเฟล เป็นภูเขาไฟโบราณ ที่เคยมีพลังงานความร้อนอยู่ใต้ภูเขา แต่ปัจจุบันพลังงานความร้อนนั้นดับสนิทแล้ว ภูเขาไฟลูกนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5-6 ล้านปีก่อน ในยุคน้ำแข็ง formed during the Ice Age.
แม้ว่าภูเขาเคิร์กจูเฟล จะไม่ใช่ภูเขาไฟที่ระเบิดได้ แต่บริเวณโดยรอบยังมีกิจกรรมทางธรณีวิทยาอื่นๆ เช่น น้ำพุร้อน น้ำพุโคลน
ที่มา: Kirkjufell [1]
ภูเขาเคิร์กจูเฟลถูกจัดอันดับ ให้เป็นหนึ่งในภูเขาที่สวย ที่สุดในโลก ด้วยรูปทรงที่โดดเด่น และทิวทัศน์ที่สวยงาม ภูเขาลูกนี้จึงเป็นจุดสำคัญ สำหรับนักถ่ายภาพ และนักเดินทาง ด้วยความที่รูปร่างคล้ายโบสถ์
ยอดแหลม ที่แหลมคมของภูเขานั้น เกิดจากการกัดเซาะ ของธารน้ำแข็ง ในยุคน้ำแข็ง ฐานของภูเขาประกอบด้วยหินบะซอลต์สีดำ ในขณะที่ยอดเขาประกอบด้วย หินไรโอไลต์สีอ่อน
ที่มา: อันดับภูเขา สวยที่สุดในโลก [2]
ภูเขาเคิร์กจูเฟลมีบทบาทสำคัญ ในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไอซ์แลนด์ ภูเขาลูกนี้ ถูกกล่าวถึงในตำนานพื้นบ้าน และนิทานหลายเรื่อง ชาวไอซ์แลนด์หลายคน เชื่อว่า ภูเขาลูกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของเอลฟ์ และโทรลล์
เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์หลายเรื่อง ซีรีส์ที่โด่งดังที่สุดคือ Game of Thrones ปรากฏในซีซั่น 6 ตอนที่ 5 ในชื่อ The Door ภูเขาแห่งนี้ถูกใช้เป็นฉาก rrowhead Mountain ซึ่งเป็นจุดที่เหล่า Children of the Forest สร้าง Night King ขึ้นมา คลิกชมเนื้อหาต่อได้ที่ Wikipedia
หากเดินทางจาก เรคยาวิก (Reykjavík) ด้วยรถยนต์ ให้ใช้เส้นทาง Ring Road หรือ Highway No. 1 ตรงไปยังทางทิศเหนือของไอซ์แลนด์ ผ่านอุโมงค์ลอดใต้ท้องทะเล จนกระทั่งถึงเมือง Borgarnes จากนั้นขับต่อไปยังเส้นทางหมายเลข 54 จนกระทั่งถึงเมือง Grundarfjörður ที่เมืองนั้นเอง คุณจะได้เห็นภูเขาคีร์กจูเฟล แบบเต็มๆ ตา [3]
สรุป ภูเขาเคิร์กจูเฟล เป็นสถานที่พิเศษที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม ด้วยรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ ธรรมชาติที่สวยงาม ภูเขาลูกนี้จึงมอบประสบการณ์ ที่น่าจดจำ ให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน
[1] wikipedia. (May 25, 2024). Kirkjufell. Retrieved from wikipedia
[2] ibox2you. (2024). อันดับภูเขา สวยที่สุดในโลก. Retrieved from ibox2you
[3] trueid. (December 27, 2022). Kirkjufell ที่เที่ยวไอซ์แลนด์ ภูเขาโบสถ์ แลนด์มาร์คสุดมหัศจรรย์. Retrieved from trueid
เขาจุงเฟรา รอนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชม มีสิ่งพิเศษหลายประการ ที่ทุกท่านอาจยังไม่ทราบดี แล้วชื่อยอดเขานี้ มีความหมายอย่างไร ติดตามดูในบทความต่อไปนี้ได้เลย
เขาจุงเฟรา (Jungfrau) ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ ใกล้กับเมืองอินเทอร์ลาเคน (Interlaken) รัฐแบร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาที่เรียกว่า ยอดเขาสี่พันเมตร หมายถึง ยอดเขาที่มีความสูงมากกว่า 4,000 เมตรนั่นเอง [1]
คำว่า Jungfrau ในภาษาเยอรมัน แปลว่า สาวน้อย ซึ่งก็สอดคล้องกับความงดงามข องยอดเขาจุงเฟรา ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ยืนตระหง่าน ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์ เปรียบเสมือนหญิงสาวที่บริสุทธิ์ และงดงามดั่งภาพฝัน
การก่อสร้างทางรถไฟ ขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟรา เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1896 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และการก่อสร้างนั้น เต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย และภูมิประเทศที่ขรุขระ ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 16 ปี และเปิดให้บริการ อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1912 [2]
การขึ้นเขาจุงเฟรา เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ แต่เพื่อให้การท่องเที่ยว ของคุณราบรื่น และปลอดภัย มีสิ่งต่างๆ ที่คุณควรเตรียมตัวล่วงหน้า
ที่มา: ยอดเขา Jungfrau [3]
สรุป เขาจุงเฟรา สถานที่ท่องเที่ยว ที่ตื่นตาตื่นใจ นักท่องเที่ยวที่เตรียมตัวมาอย่างดี จะได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม แต่หากไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม ก็อาจจะเจออุปสรรคและอันตรายได้ ต้องระมัดระวัง
[1] mushroomtravel. (August 25, 2023). ยอดเขาจุงเฟรา เที่ยวสวิสต้องได้พิชิต Top of Europe !!. Retrieved from mushroomtravel
[2] grazietravel. (2021-2024). ยอดเขาจุงเฟรา อินเทอลาเค่น สวิตเซอร์แลนด์ดินแดนแห่งความโรแมนติก. Retrieved from grazietravel
[3] youtube. (March 8, 2022). ยอดเขา Jungfrau. Retrieved from youtube