เหรียญดิจิทัล CBDC เหรียญหรือเงินในรูปแบบดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ที่หลายประเทศกำลังพัฒนา และลองใช้อยู่ ซึ่งในประเทศไทยเองก็เช่นกันที่ทางธนาคารกลางหรือ ธปท. ได้ออกเหรียญ CBDC ในโครงการอินทนนท์ บทความนี้จึงขอพาไปดูความเป็นมา จุดเริ่มต้น และไปดูโครงการทดสอบในบางขุนพรหม
เริ่มจากการมองเห็นความสำคัญของการมาของคริปโต และการออกเหรียญนี้ยังสามารถควบคุมได้ จากการเป็นสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง พูดง่ายๆ ก็คือเงิน fiat เวอร์ชันดิจิทัล และก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้ออกโดยธนาคารกลาง โดยจะให้มูลค่าของเหรียญผูกติดกับเงินในสกุลประเทศนั้นอารมณ์แบบ เหรียญ Stablecoin ซึ่งก็ทำแล้วในหลายประเทศที่เงินแข็งแรง [1]
Libra หรือที่ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น Diem อีกหนึ่งเหรียญดิจิทัลที่เป็นโครงการนำร่องในปี 2020 เป็น Stablecoin ที่ใช้เงิน Fiat มาค้ำ เพื่อให้เป็นเงินดิจิทัลที่มีความน่าเชื่อถือทัดเทียมกับ CBDC ดังนั้นนี้จึงเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ของภาคการเงินแบบดั้งเดิมอย่างธนาคารในประเทศต่างๆ ต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ก่อนที่จะถูกยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยี แย่งชิงพื้นที่นี้ไปก่อน [2]
2 ระบบการทำงานของ Diem
ที่มา: เงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง: ความท้าทายใหม่ของธนาคารพาณิชย์ [2]
โดยหลังจากที่ Libra ก็มีทั้งประเทศที่พัฒนามาก่อน และประเทศที่ไหวตัวเริ่มสร้างเหรียญ CBDC กันมากขึ้น ซึ่งไม่ได้เป็นแค่สร้างให้ทัน Libra แต่ยังเป็นการเร่งผลิตเพื่อตามให้ทันการเงินแบบกระจายอำนาจ ที่ทั้งรัฐบาลและธนาคารกลางไม่ชอบ แต่มีเพียงประเทศมหาอำนาจมีการเริ่มต้นและพัฒนาได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ โดยได้แก่ประเทศดังนี้
ที่มา: ส่อง 5 ประเทศมหาอำนาจ เดินหน้าพัฒนา “สกุลเงินดิจิทัล” [3]
โครงการการทดสอบการใช้ Central Bank Digital Currency ที่จะเป็นการทดลองแรกของ CBDC ในประเทศไทยให้ในวงประชาชนรายย่อย ในพื้นที่บางขุนพรหม เพื่อใช้ประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับประชาชน โดยมีการคัดเลือกและทดลองไปแล้ว กับกลุ่มผู้ใช้งานประมาณ 10,000 ราย
ที่มา: โครงการบางขุนพรหม [4]
โดยถึงแม้ว่า CBDC จะเป็นเหมือนพวกเหรียญสกุลเงินดิจิทัล แต่หากจะพูดว่าเป็น Cryptocurrency ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก โดยความแตกต่างสำคัญๆ ก็มีอยู่ไม่มากแต่เป็นลักษณะเด่นที่ตรงกันข้ามเลยคือ การกระจายอำนาจ ไม่มีตัวกลางคอยควบคุม และมีความน่าเชื่อถือในตัวมันเองจากการใช้งานใน Blockchian ที่จะบันทึกธุรกรรมเอง ซึ่งมูลค่าก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการเหรียญนั้นๆ
ในขณะที่ Central Bank Digital Currency จะเป็นการออกเหรียญ และควบคุมโดยธนาคารกลาง และสนับสนุนโดยรัฐบาล ซึ่งในการใช้งานก็จะรู้จักผู้ใช้ว่าเป็นใคร และในการบันทึกธุรกรรม ธนาคารกลางก็จะเก็บข้อมูลเอาไว้ อาจปลอดภัยต่อการนำไปใช้ผิดๆ และมีความเชื่อถือโดยรัฐบาล มูลค่าก็จะขึ้นลงตามเงินที่นำไปค้ำ [1]
ซึ่งนอกจากที่ทางเหรียญ CBDC กับคริปโตจะมีความแตกต่างกันแล้วในเรื่องของ การรวมอำนาจ แถมยังมีจุดประสงค์ ข้อดี ข้อเสียอื่นๆ ประกอบด้วย โดยก็เป็นข้อได้เปรียญและเสียเปรียบตามแต่ละสถานการณ์
ข้อดี
ข้อเสีย
ที่มา: สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) และความแตกต่างกับคริปโทเคอร์เรนซี [1]
อีกหนึ่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จะเรื่องเฉพาะกลุ่ม เรื่องการลงทุน มายังการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังหารือ และเริ่มพัฒนาตามๆ กันมาหลายประเทศ
[1] efinancethai. (June 9, 2022). สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) และความแตกต่างกับคริปโทเคอร์เรนซี. Retrieved from efinancethai
[2] krungsri. (November 16, 2022). เงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง: ความท้าทายใหม่ของธนาคารพาณิชย์. Retrieved from krungsri
[3] กรุงเทพธุรกิจ. (September 25, 2022). ส่อง 5 ประเทศมหาอำนาจ เดินหน้าพัฒนา “สกุลเงินดิจิทัล”. Retrieved from bangkokbiznews
[4] ธนาคารแห่งประเทศไทย. (2023-2024). โครงการบางขุนพรหม. Retrieved from bot
เหรียญ Stablecoin อีกหนึ่งเหรียญในระบบ Cryptocurrency ที่ในหลายๆ แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยน ที่มักถูกนำมาใช้งานแลกจากเงินไปเป็นคริปโต และแลกจากคริปโตมาเป็นเงินสดแบบ P2P ไปจนถึงการมาของ คริปโต เลเยอร์สอง ต่างๆ บทความนี้จึงมาแนะนำเหรียญนี้ให้รู้จักมากขึ้น บอกข้อดีข้อเสีย พร้อมส่งเหรียญมาแรงรับการกลับมาของ bitcoin ในปี 2024 นี้
สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความมั่นคงสูงมาก บางเหรียญอาจไม่มีความผันผวนมากแบบเหรียญประเภทอื่น ซึ่งจากชื่อ Stable แปลตรงตัวก็จะหมายความว่ามั่นคงอยู่แล้ว โดยเหรียญนี้ถูกอ้างอิงมูลค่ากับเงินสกุลใดสกุลหนึ่งอย่างดอลลาร์ หรือสินทรัพย์ต่างๆ แม้กระทั่งเหรียญคริปโตด้วยกันเอง ในความมั่นคงที่ว่าก็จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่อ้างอิงอยู่ด้วย [1]
พูดง่ายๆ ก็คือมั่นคงต่อสิ่งที่อ้างอิง แต่ในความเป็นจริงหากสินทรัพย์ที่อ้างอิงมีมูลค่าที่เปลี่ยนไปก็จะเปลี่ยนไปด้วย แต่ด้วยเป็นสิ่งนี้สินทรัพย์ดิจิทัลที่สามารถถูกเขียนโปรแกรมหรือใส่คำสั่งที่ซับซ้อนลงไปได้ จึงสามารถใส่ระบบที่สามารถรักษามูลค่าให้คงเดิมได้ อย่างระบบสร้าง และเบิร์นเหรียญทิ้ง เพื่อควบคุมปริมาณ และรักษาไม่ให้เหรียญเฟ้อเกินไป
เหรียญ Stablecoin สามารถใช้สินทรัพย์หลายอย่างมาใช้ค้ำมูลค่าของเหรียญได้ ดังนั้นเหรียญ Stable นี้จึงถูกแยกออกตามประเภทของสินทรัพย์ที่เหรียญนำมารองรับหรือค้ำประกันนั้นเอง โดยหลักๆ ก็จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้
Fiat - collateralized
Commodity - collateralized
Crypto - collateralized
Non- collateralized
ที่มา: มารู้จัก Stablecoin ประเภทต่างๆในโลกของ Cryptocurrency [1]
สำหรับบริษัทอย่าง NVIDIA ที่ได้กำไรจากการขุดเหรียญไปแบบมหาศาล กลับมีมุมมองต่อ BTC ไม่ค่อยดีนัก โดยกล่าวว่าพวกเหรียญ Cryptocurrency ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับสังคม ซึ่งการที่เป็น Supply ของอุปกรณ์หลักสำหรับเหรียญ Alt-coin ต่างๆ NVIDIAมองว่านั่นเป็นการใช้การจอที่ผิดวิธี แถมยังทำให้การ์ดจอขาดตลาดด้วย ถึงจะเป็นผลดีที่ราคาขึ้นก็ตาม
ข้อดี
ข้อเสีย
ที่มา: Stablecoin คืออะไรและมีทั้งหมดกี่ประเภท? [2]
ในบทความหัวข้อนี้จะเป็นการแนะนำเหรียญโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่มีความน่าสนใจในปีนี้ และเหรียญหลายตัวที่มาแรง และเป็นที่นิยมมานาน ซึ่งในปี 2024 นี้จากการมาของ bitcoin halving เหรียญ stable จะกลับมาแน่นอน
ในวันที่ 19 เมษายน 2024 ที่ผ่านมานี้ ผู้ให้บริการ Stablecoin อย่าง Tether ก็มีการประกาศโปรเจกต์ Stablecoin ใหม่ออกมา พร้อมโครงการอีกหลายโครงการที่ทำร่วมกับโปรเจกต์นี้ด้วย โดยทั้งเปิดตัวเหรียญ USDT ตัวใหม่ และ XAUT
ที่มา: Tether ประกาศเปิดตัว Stablecoin ใหม่ ที่จะตรึงกับเงินดอลลาร์และทองคำผ่านบล็อกเชนของ TON [3]
กลายเป็นเหรียญที่มีบทบาทสำคัญในพื้นที่สกุลเงินดิจิทัล ซึ่งมาทดแทนการทำงานของสกุลเงินเฟียตต่างๆ ได้ดีกว่า ถูก และสะดวกในการโยกย้าย โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED ยังทำให้มูลค่าของเงินสำรองดอลลาร์ อันเป็นมูลค่าของเหรียญ Stablecoin เพิ่มอีกด้วยนำไปสู่การถือกำเนิด โปรเจกต์ต่างๆ ในวงการคริปโต โดยเหรียญที่มาแรงและคนให้ความสนใจ 4 ตัวแรกก็มีดังนี้
ที่มา: รวม Stablecoins ที่ดีที่สุดในปี 2024 เหรียญไหนน่าลงทุน [4]
เหรียญ Stablecoin ที่กลายเป็นหนึ่งในตัวกลางแลกเปลี่ยนสำคัญระหว่างเหรียญคริปโตอื่นๆ กับเงินสดในแต่ละประเทศ ซึ่งใช้สะดวกถือไว้ได้เสมือนถือเงินสดในโลกของคริปโต ทั้งยังเป็นที่พักมูลค่าเวลาที่ตลาดมีความผันผวนด้วย ในปีนี้ก็มีเหรียญมากมายที่ได้รับความสนใจ และมีการออกเหรียญใหม่ๆ มากมายด้วย
[1] blockchain review. (August 9, 2019). มารู้จัก Stablecoin ประเภทต่างๆในโลกของ Cryptocurrency. Retrieved from blockchain-review
[2] bitkub. (2024). Stablecoin คืออะไรและมีทั้งหมดกี่ประเภท?. Retrieved from bitkub
[3] siamblockchain. (April 19, 2024). วิธีรับฟรี INDUSTRIA เกมภาพสวย FPS สู้จักรกล กำลังแจกฟรีให้รับไปเล่นได้ถาวร!!!. Retrieved from siamblockchain
[4] beincrypto. (December 26, 2023). รวม Stablecoins ที่ดีที่สุดในปี 2024 เหรียญไหนน่าลงทุน. Retrieved from beincrypto
เหรียญ DeFi ที่ยกมาพูดถึงในวันนี้คือนวัตกรรมแห่งโลกการเงินที่เกิดขึ้นมาแล้ว แต่ยังไปไม่สุด ซึ่งมันเป็นโลกการเงินแบบไร้ตัวกลาง ที่มีทั้งระบบกู้ยืม การแลกเปลี่ยนที่ใครก็ร่วมเป็นธนาคารได้ บทความนี้จึงมาบอกความหมาย พร้อมกับแนะนำเครือข่าย และเหรียญต่างๆ ที่กำลังมาพร้อม บิตคอยน์ ฟื้นตัว ในช่วงนี้
การเงินแบบกระจายอำนาจ หรือ Decentralized Finance การเงินที่ในการแลกเปลี่ยนแบบ P2P เพียร์ทูเพียร์ผ่านเครือข่ายของ Ethereum เป็นส่วนใหญ่ โดย DiFi นี้ก็ช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยน กู้ยืม ซื้อประกัน ซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ซื้อขายสินทรัพย์ การฝากรับดอกเบี้ยและอีกมากมาย แถมจุดเด่นของ P2P ก็คือไม่ต้องมีบุคคลที่ 3 มาเกี่ยวข้องเป็นลักษณะของการเชื่อมโยงของบุคคลสองคนโดยตรง [1]
และในเรื่องของความปลอดภัยก็ไร้กังวล จากระบบบล็อกเชนที่จะบันทึก และแชร์ธุรกรรมแบบสาธารณะไปกว่าล้านๆ ยูสเซอร์ จึงไม่มีการแอบอ้างทรัพย์สินของใครได้ แถมยังไม่มีค่าใช้จ่ายในเรื่องอาคารสำนักงาน ค่าจ้างพนักงานธนาคาร อันเป็นที่มาของค่าธรรมเนียมต่างๆ ด้วย
ด้วยการที่ Bitcoin นั้นไม่สามารถใส่โค้ดอะไรที่ซับซ้อนลงไปได้ แถมยังมีหลายอย่างที่ยุ่งยาก ดังนั้นระบบของบล็อกเชน Ethereum จึงง่ายกว่า ทั้งทำธุรกรรมได้ไว พร้อมกับ crypto layer 2 ที่มีค่าธรรมเนียมที่ถูกลงไปอีก และเร็วกว่าเดิม ซึ่งก็มี DAap หลายตัวใช้งานอย่าง Aave, LIDO, Maker Protocol หรือ Uniswap
ที่มา: เหรียญ DeFi Crypto ที่ดีที่สุดในปี 2024 [2]
บทความนี้จะพูดถึงโปรเจกต์ DeFi ชั้นนำในปัจจุบัน ที่มีศักยภาพสูงสุด โดดเด่นในช่วงปี 2024 นี้ และยังสามารถเติบโตไปได้อีก เป็นโปรเจกต์หลักๆ ที่สำคัญในโลก Defi อย่างมาก
เหรียญโปรโตคอลการให้ยืม
ออกมาเป็น Token ซึ่งเหรียญนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นโปรโตคอล DeFi ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 และกลายเป็นผู้นำด้านการให้กู้ยืม และให้บุคคลมาปล่อยกู้ได้ อารมณ์แบบตราสารหนี้แต่ดอกเบี้ยที่ได้ก็จะเป็นรางวัลจากการเป็นสภาพคล่องให้แพลตฟอร์มและจากการกู้ยืม และตัวโทเค็นเองก็มีการเติบโตที่โดดเด่น โดยโตขึ้น 55% ในปี 2023
เหรียญที่ดำเนินงานบนบล็อกเชนของ Ethereum เป็นหลัก ด้วยมูลค่าตลาด 711 ล้านดอลลาร์ และมีจุดเด่นในฐานะผู้นำด้านการให้กู้ยืมแบบเดียวกับ AAVE แต่เหรียญนี้มีจุดเด่นในเรื่องของ cToken ที่สามารถใช้รองรับสินทรัพย์หลายรายการ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเครดิตผู้ยืมเลย มันจึงช่วยในเรื่องความยืดหยุ่นได้ดี
การแลกเปลี่ยนที่เข้าถึงสภาพคล่องได้
เริ่มจากการเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนโทเค็นด้วยศูนย์รวมเหรียญต่างๆ ที่คนมาฝากไว้ในระบบ ที่เรียกว่า Liquidity pool ผ่านสัญญาอัจฉริยะให้คนที่ต้องการเปลี่ยนจาก USDT หรืออื่นๆ เป็น Bitcoin ได้ง่ายๆ โดยไม่เสียมูลค่าอารมณ์เอาเหรียญมาโยนใส่ Pool และหยิบเหรียญที่ต้องการไป ซึ่งอาจจะมีค่าธรรมเนียม และค่าธรรมเนียมก็เป็นของผู้นำเหรียญมาฝาก
โดยถือครอง Total Value Locked (TVL) ที่มีมูลค่าเกิน 3.8 พันล้านดอลลาร์ และออกโทเคนมาเพื่อแลก กับให้ผู้ถือโทเค็นนั้นมีส่วนในการตัดสินใจทิศทางของ UniSwap ได้
เปิดตัวในปี 2020 มีวัตถุประสงค์ในการสร้างสภาพคล่องให้ดีกว่าเดิม โดยกำหนดขอบเขตการซื้อขายคริปโต ด้วยการรวมสภาพคล่องจาก DEX ต่างๆ อย่างเช่น Uniswap เอง, Sushiswap และ PancakeSwap ซึ่งรางวัลที่ผู้ใช้จะได้ก็จะเป็น โทเค็น 1INCH แถมผู้ถือโทเค็นนี้ก็ยังได้รับประโยชน์จากค่าธรรมเนียมถูก และสิทธิพิเศษอื่นๆ ด้วย
ที่มา: เหรียญ DeFi Crypto ที่ดีที่สุดในปี 2024 [2]
โดยความนิยมในการใช้งาน DAap ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ได้มีแค่การกู้ยืมและแลกเปลี่ยนเท่านั้น ยังมีการฝากเพื่อรับดอกเบี้ยแบบอื่นด้วยอย่างเช่น การ Staking การฝากเหรียญเพื่อสนับสนุนเหรียญ Fan token ต่างๆ เพื่อรับรางวัลเป็น Fan Token นั้นๆ ในบทความนี้จะพามาส่องเหรียญ โปรเจกต์ DeFi พื้นฐานดีมีแนวโน้มเติบโตจากการฝากในแบบทั้งหลายนี้
ที่มา: เปิดลิสต์ 3 เหรียญ DeFi ศักยภาพสูง! ที่น่าเข้าซื้อในปี 2024 [3]
เหตุการณ์สำคัญของชาว Bitcoin เพื่อควบคุมปริมาณและเวลาให้ไม่รวดเร็วเกินไป ก่อนจะครบ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีราคาเพิ่มขึ้นพร้อมปรับฐานใหม่ทุกครั้ง ในโลกของ Defi ซึ่งก็เป็นระบบการเงิน ที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยี blockchain อยู่แล้วแม้ส่วนมากกว่าครึ่งจะเกิดขึ้นจากบล็อกเชนของ Ethereum ซึ่งเริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในช่วงที่ราคาของหลายเหรียญกลับมา และนี่คือผลกระทบที่ตามมา
ที่มา: ผลกระทบของ Bitcoin Halving ต่อระบบ Decentralized Finance [4]
ธีมของระบบการเงินแบบใหม่ที่ไร้ตัวกลาง และมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง โดยเทคโนโลยีนี้ก็มีประโยชน์หลายๆ ด้วยโดยเฉพาะกับผู้ที่ใช้งานคริปโต และการโอนเงินระหว่างประเทศที่ใช้คริปโตเป็นตัวกลาง ซึ่งในปีนี้ก็มีอยู่หลายโปรเจกต์ไม่น้อยที่ได้รับความสนใจ
[1] finnomena. (June 25, 2021). DeFi คืออะไร? ทำความรู้จักกับโลกการเงิน ที่ไม่ต้องพึ่งธนาคาร. Retrieved from finnomena
[2] plisio. (March 6, 2024). เหรียญ DeFi Crypto ที่ดีที่สุดในปี 2024. Retrieved from plisio
[3] cryptosiam. (December 15, 2023). เปิดลิสต์ 3 เหรียญ DeFi ศักยภาพสูง! ที่น่าเข้าซื้อในปี 2024. Retrieved from cryptosiam
[4] efinancethai. (July 11, 2024). ผลกระทบของ Bitcoin Halving ต่อระบบ Decentralized Finance. Retrieved from efinancethai
ภาษีคริปโต เก็บยังไง ในบทความนี้จะมาแถลงไขเกี่ยวกับ รายละเอียดของภาษีคริปโต องค์การที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงภาพรวมและข้อควรรู้เกี่ยวกับการจ่ายภาษีคริปโต ให้สำหรับผู้ที่ซื้อขายเหรียญเก็งกำไร รวมไปถึงผู้ถือครองยาวๆ ในช่วง บิตคอยน์ ฟื้นตัว แบบนี้ ว่าจะต้องกำไรถึงกี่บาทจึงจะยื่นได้
กฎหมายที่ออกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 ที่เป็นช่วงที่คริปโตกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ในโลกรวมถึงไทย ที่ทั้งมีการซื้อถือครอง และเทรดกันในกลุ่มใหญ่มากขึ้น ด้วยความที่เป็นสกุลเงินแบบใหม่ แถมยังมีการกระจายอำนาจ ที่ไม่มีหน่วยงานไหนควบคุมได้ ส่งผลให้ต้องมีการกำกับจากองค์กรของรัฐอย่าง ก.ล.ต.
ในการเก็บภาษี โดยมีการแก้ไขกฎหมายในฉบับที่ 19 เพิ่มเติมในมาตรา 40 และมาตรา 50 ให้นับรวมรายได้อีกสองประเภทเข้าไป คือรายได้จากโทเคนดิจิทัลและคริปโตฯ และกำไรจากการขายโทเคนดิจิทัลและคริปโตฯ [1]
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ ที่มีหน้าที่หลักๆ เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลการลงทุนต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น การมีหุ้นที่กำลังถูกเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป องค์กรนี้ก็จะพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนจะอนุญาตได้ เป็นองค์กรอิสระ ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 [2] โดยมีหน้าที่อีกหลายอย่างดังนี้เลย
ขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่กำหนดตามกฎหมาย
ที่มา: ก.ล.ต. กับ อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย [3]
อาจเป็นกันทีรู้จักกันดีอยู่แล้วว่าคริปโตนั้นคืออะไร โดยในบทความนี้ที่พูดถึงเกี่ยวกับการเก็บภาษีคริปโต ซึ่งไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับการลงทุน เพราะด้วยระบบพื้นฐานของคริปโตกว่า 99% เป็นระบบที่กระจายอำนาจไม่มีใครครอบคลุม ยากที่จะระบุตัวตนเป็นรายคน ดังนั้นคริปโตจึงรวมอยู่กับภาษีประเภทรายได้จากการทำธุรกิจทั่วไป รายได้แบบเงินเดือน หรือค่าจ้างงานฟรีแลนซ์
ในการเรียกเก็บก็จะสามารถทำได้ ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ที่มีการยืนยันตัวตนผู้ซื้อได้อย่างการยืนยันแบบ KYC และอยู่ในการกำกับดูและของ ก.ล.ต. เท่านั้น ซึ่งก็จะสามารถยื่นจ่ายได้ และได้สิทธิ์ในการยื่นคือภาษี และประโยชน์อื่นๆ ด้วย
แน่นอนอยู่แล้วว่าการเสียภาษีเป็นหน้าที่ของคนในประเทศ ซึ่งหลายฝ่ายก็เห็นว่าการเก็บภาษีคริปโต ก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ สำหรับการเติบโตของตลาดดิจิทัลเมืองไทย และถึงแม้ว่ากรมสรรพากรจะลดความตึงเครียดไปมาก ด้วยการสามารถนำขาดทุนมาหักลบกับกำไรได้ด้วย แต่ก็ยังไม่ถูกใจนักลงทุนอยู่ดี ซึ่งก็มีความน่ากังวลหลายอย่างดังนี้
ที่มา: ภาษียังกดดันคริปโตฯไทย แม้ไฟเขียวนำขาดทุนหักลบ [4]
ในการจ่ายภาษีคริปโต ของรูปแบบภาษีเงินได้นั้น ผู้จ่ายภาษีสามารถเลือกการจ่าย ผ่านการคำนวณเอากำไร และขาดทุนมาหักลบกันได้ด้วย ซึ่งก็สามารถคิดได้สองรูปแบบด้วยกัน และหากผู้ยื่นเสียภาษีเลือกรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาแล้ว ก็จะต้องเสียภาษีในรูปแบบการคำนวณนั้นๆ ไปตลอดปี โดยมีการคำนวณดังนี้
ที่มา: มีรายได้-กำไร-ขาดทุน จากคริปโตฯ ต้องเสียภาษีอย่างไร [5]
นอกจากจะมีการผอนปรนลงไปบ้างเกี่ยวกับ การนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรได้ในปีภาษีเดียวกันได้ เพียงแต่ต้องทำธุรกรรมผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.แล้ว ยังมีข้ออื่นๆ ที่นัดเทรดควรรู้ด้วย
เรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่สามารถสร้างรายได้ในการเทรดคริปโต ที่อาจเป็นปัญหาในการทำกำไรไม่น้อย ทั้งยังมีหลายคน ที่หลบเลี่ยงการจ่ายไปใช้ในแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่อาจยุ่งยากกว่า แต่ก็สามารถรับกำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่านั่นเอง และต้องรอดูต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของเปอร์เซ็นต์เป็นเท่าไหร่ และจะมีการผ่อนปรนอะไรอีกบ้าง
[1] thematter. (January 6, 2022). ภาษีคริปโตฯ เก็บยังไง? ใครต้องเสียภาษี? สรุปทุกคำถามควรรู้เกี่ยวกับ ‘ภาษีคริปโตฯ’. Retrieved from thematter
[2] longtunman. (June 17, 2019). ก.ล.ต. คือใคร. Retrieved from longtunman
[3] sec. (September 19, 2022). ก.ล.ต. กับ อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย. Retrieved from sec
[4] mgronline. (January 30, 2022). ภาษียังกดดันคริปโตฯไทย แม้ไฟเขียวนำขาดทุนหักลบ. Retrieved from mgronline
[5] thairathplus. (February 14, 2022). มีรายได้-กำไร-ขาดทุน จากคริปโตฯ ต้องเสียภาษีอย่างไร. Retrieved from thairath
คริปโต เลเยอร์สอง ตัวแก้ไขปัญหาในเรื่องของความเร็วธุรกรรมให้คริปโตเครือข่ายต่างๆ ในระบบที่อาจเคยได้ยินกันมาบ้างใน Lightning Network, Plasma Solution หรือ เหรียญมีมต่างๆ ที่มีค่าธรรมเนียมถูก และโอนเร็ว บทความนี้จึงพูดถึงจุดกำเนิด และประโยชน์ของมันเป็นหลัก ก่อนจะไปแนะนำเหรียญเลเยอร์สองต่างๆ ที่อาจกลับมาพร้อมกับ บิตคอยน์ ฟื้นตัว ช่วงนี้
นี่เป็นเครือข่ายย่อยที่สร้างมาโดยอิงเครือข่ายหลักมาอีกที พัฒนาขึ้นเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับ Layer หลักที่ยิ่งมีการรู้จักการธุรกรรมก็หนาแน่นขึ้นจนมีปัญหาการทำธุรกรรมที่ล่าช้า และค่าธรรมเนียมแพง ซึ่งหลักการทำงานก็จะเป็นการมัดรวมธุรกรรมให้อยู่ในข้อมูลชุดเดียว แล้วสรุปไปบันทึกในเครือข่ายหลัก [1] หากจะเปรียบ Layer ก็จะเห็นภาพได้ดังนี้
ดังที่ระบุไปว่าการทำธุรกรรมบนเครือข่ายหลักนั้นมีทั้งค่าธรรมเนียมและระยะเวลาที่ต้องรอไปตามคิว ระบบนี้จึงสร้างมาเพื่อเป็นการทำธุรกรรมให้เร็วขึ้นได้ โดยยึดการกระจายศูนย์ และความปลอดภัยเป็นหลักได้เช่นเดิม เพราะการบันทึกก็ยังถูกบันทึกบนเครือข่ายบล็อกเชนเช่นเดิม โดยนี่ก็คือประโยชน์อื่นๆ ของ Crypto Layer 2
โดยสามารถเสริมประสิทธิภาพของบล็อกเชนได้ แถมยังไม่กระทบเรื่องต่อความปลอดภัยเพราะระบบบันทึกธุรกรรมและแชร์ยังเป็นแบบเดิม ทำให้ธุรกรรมต่างๆ บนบล็อกเชนมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น พร้อมยังเป็นโอกาสในการพัฒนาการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ และเพิ่มธุรกิจใหม่มากมาย
ด้วยการใช้โอนเงินเข้าประเทศของบางประเทศแล้ว การมาของเลเยอร์สองยังเพิ่มประสิทธิภาพ และแบ่งเบาต้นทุนลงไปเยอะด้วย อย่างค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ใช้ในวงกว้างสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะรายย่อย
ที่มา: Layer 2 คืออะไร สำคัญกับบล็อกเชนมากแค่ไหน? [1]
บรรดาเหล่าเหรียญคริปโต หรือเหรียญดิจิทัลทั้งหลายล้วนอยู่ในระบบของ Blockchain Network ซึ่งจะมีด้วยกันหลายเครือข่ายแยกกันออกไปคล้ายๆ เซิร์ฟเวอร์ โดย Layer 1 จะเป็นตั้งต้นของระบบเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิก จึงไม่ได้สมบูรณ์เพอร์เฟกต์ 100%
ส่วน Layer 2 ก็คือ Version ที่พัฒนาแล้วของ Layer 1 แต่ก็ยังใช้พื้นฐานของระบบเดิมไว้อยู่ แค่ระบบนี้จะเปลี่ยนมุมมองในการโอนเหรียญ จากที่ทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทีละ 15 ครั้งต่อวินาที ก็จะเปลี่ยนเป็นการส่งข้อมูลไปที่เดียว และบันทึกรวดเดียวเป็นพันๆ ครั้งต่อวินาที [2]
โดยในหัวข้อนี้จะเป็นการกล่าวถึง 2 เหรียญที่เป็น คริปโต เลเยอร์สอง ที่เป็นอันดับต้นๆ ในการใช้งาน และมาแรง โดยจะเป็นการอธิบายถึงหลักการทำงาน จุดประสงค์และรายละเอียดอื่นๆ พร้อมตัวอย่างของโครงการสร้างโซลูชันใหม่ของสองเหรียญผู้นำแห่งวงการนี้อย่าง Bitcoin และ Ethereum
โดยโซลูชันสองอย่างที่กำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ ก็เป็นเครือข่ายอีกชั้นที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถของแต่ละเหรียญที่ทำงานคนละเครือข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ จากปัญหาที่มีมานาน จนทำให้บล็อกเชนหลายเจ้า รวมถึงที่ BTC เริ่มมีการพัฒนาบล็อกเชน Layer-2 เป็นของตัวเอง
เครือข่ายเลเยอร์สองนี้ อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถทำแลกเปลี่ยน-โอน หรือทำธุรกรรมภายนอกเครือข่ายหลัก โดยไม่ต้องบันทึกการทำธุรกรรมทุกธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin เพื่อลดภาระของระบบ และจะแยกออกจากเครือข่ายหลักของ BTC แต่ก็จะมี Node เป็นของตัวเอง จึงใช้พลังงานต่ำ สามารถปรับขนาด และการเพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกรรมได้
เครือข่ายนี้ถูกออกแบบให้มีการดำเนินการแบบ Blockchain tree โดยการใช้สัญญา Smart contract และ Merkle trees เปิดให้สามารถสร้างเชนย่อยๆ ออกไปได้อย่างไร้จำกัด ซึ่งช่วยแบ่งเบางานของเชนหลักได้มหาศาล หลายบริษัทจึงสามารถปรับขนาดและออกแบบโครงสร้างได้ตามความต้องการ
ที่มา: บล็อกเชน Layer-2 คืออะไร ? และเหรียญ Crypto ตัวไหนบ้างที่มีบล็อกเชน Layer-2 เป็นของตัวเอง [3]
ในเมื่อไปรู้จักกับโซลูชันหลักๆ ไปแล้ว หัวข้อนี้จึงเป็นการ แนะนำเหรียญที่เป็น เลเยอร์ 2 ที่เป็นสองตัวเทพในโลกคริปโต ที่มีความโดดเด่นทั้งความสามารถ และจุดประสงค์ของแต่ละเหรียญ
Polygon (MATIC)
OMG Network (OMG)
ที่มา: Blockchain Layer 2 คืออะไร ? – เหรียญอะไรน่าลงทุนบ้าง [2]
อีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถพัฒนาระบบธุรกรรมบนบล็อกเชนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่ต้องโปรโมทใดๆ เนื่องจากต้นทุนที่ลดลง และรวดเร็วมากขึ้น จึงสามารถดึงดูดผู้ใช้งานให้เข้าใช้ทางเลือกที่ดีกว่านี้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว และในอนาคตก็อาจมีเลเยอร์สองที่ดีกว่าและรองรับการโอนโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเลยก็ได้
[1] bitkub. (2024). Layer 2 คืออะไร สำคัญกับบล็อกเชนมากแค่ไหน?. Retrieved from bitkub
[2] moneybuffalo. (January 20, 2022). Blockchain Layer 2 คืออะไร ? – เหรียญอะไรน่าลงทุนบ้าง. Retrieved from moneybuffalo
[3] siamblockchain. (June 21, 2023). บล็อกเชน Layer-2 คืออะไร ? และเหรียญ Crypto ตัวไหนบ้างที่มีบล็อกเชน Layer-2 เป็นของตัวเอง. Retrieved from siamblockchain
บิตคอยน์ ฟื้นตัว ที่มีราคาสูงมากขึ้นแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 2024 นี้และยังคงเพิ่มต่อเนื่องซึ่งมากกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนอีกด้วย บทความนี้จะมามองถึงสาเหตุของการทำให้บิตคอยน์ฟื้นตัวเร็วแบบนี้ โดยจะมีสาเหตุอยู่หลักๆ 2 ประการก็คือ วัฏจักรของการผลิตเหรียญทุกๆ 4 ปี และเรื่องใหม่อย่างการมาของ Spot Bitcoin ETF เมื่อปี 2023
จากรายงานของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมานี้ที่ บิตคอยน์ ฟื้นตัว ซึ่งราคาก็ขึ้นไปแตะ 2 ล้านอีกครั้ง โดยปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 8.6% ท่ามกลางการซื้อเพิ่มจากกองทุนอีทีเอฟอีกกำลัง [1] ซึ่งราคาของ BTC ในตอนนี้ (วันที่ 18 เดือนเมษา 2024) ก็สูงขึ้นไปถึง 2.2 ล้านแล้ว
ซึ่ง BTC เคยขึ้นไปแตะ 2 ล้านครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หรือการเกิด บิตคอยน์ ฮาฟวิ่ง ครั้งก่อนในปี 64 หรือปี 2020 ซึ่งหลังจากการเกิดไม่นานราคาก็ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำระดับสูงสุดที่ 2,285,500 บาทในเดือนพฤศจิกายน จนกลายเป็นที่รู้จักกันในหมู่ประชาชนทั่วไปพอๆ กับอีสปอร์ต และ เทรนด์ AI ขณะที่ราคาคริปโตอื่นๆ ก็สูงขึ้นตามพี่ใหญ่ทั้ง Ethereum, Cardano และอื่นๆ [1]
เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว กว่า 3 ครั้ง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นหลายเท่า และลงมาถึงจุดจุดหนึ่ง จากจำนวนเหรียญที่ได้ต่อครั้งที่ลดลงไป จากเดิม 100% เหลือ 50% ด้วยความต้องการเท่าเดิมของอุปสงค์ แต่การผลิตได้ในอัตราน้อยกว่าเดิมถึง 2 เท่า มันจึงมีราคาที่สูงโดยอัตโนมัติในระยะ 5-12 เดือน ยิ่งหายากราคาก็ยิ่งสูง และนี้ก็คือการฮาฟวิ่งทั้งหมดที่เคยมีมา
ที่มา: เจาะลึก Bitcoin halving 4 ปีมีครั้ง ปรากฏการณ์นี้จะทำให้ราคารุ่งหรือร่วง? [2]
โดย Bitcoin Halving ก็คือวงจรของบิตคอยน์ ที่ผู้ก่อตั้งได้ฝังชุดคำสั่งไว้ ให้รางวัลที่ได้จากการขุดลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ การขุดครบ 210,000 บล็อก ซึ่งแต่ละบล็อกจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที ดังนั้น 210,000 บล็อกก็จะใช้เวลาไปประมาณ 4 ปี ซึ่งบิตคอยน์ ฮาฟวิ่งจึงเกิดขึ้นทุก 4 ปี และแต่ละปีก็จะเพิ่มราคาไปสูงมากๆ ก่อนจะลงกว่า 75% [3]
ซึ่งในการฮาฟวิ่งในครั้งที่ 4 ที่จะเกิดขึ้นนี้คาดว่าจะเกิดในปลายเดือนเมษายนนี้ รางวัลต่อบล็อกจะถูกลดลงไปตั้งแต่ 6.25 เหรียญ เหลือ 3.125 เหรียญ หมายความว่า Supply ของ Bitcoin ที่ค่อนข้างจำกัดอยู่แล้ว จะยิ่งจำกัดลงไปอีก ในขณะที่ Demand กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการมาของกองทุนอีทีเอฟ และยังมีหลายบริษัทให้ความสนใจอย่าง Tesla, MicroStrategy และหลายธนาคารระดับโลก
เรื่องอันน่าตื่นเต้นของการมาของ Spot Bitcoin ETF หรือที่เรียกว่า “กองทุน บิตคอยน์” ในปี 2023 ที่ได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนได้แล้วโดย ก.ล.ต. ของอเมริกา ที่มีมากถึง 11 กองทุน ซึ่งลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขุด ซื้อขาย BTC และเกี่ยวกับเทคโนโลยี block chain ด้วย
ซึ่งก็เริ่มมีการซื้อสะสมบิตคอยน์ในบรรดากองทุน และนักลงทุนรายย่อย ก่อนเกิดการ Halving นั่นเอง ที่ทำให้ บิตคอยน์ ฟื้นตัว และมีราคาจึงสูงขึ้นก่อนเดือนเมษานี้อีก ริเริ่มโดยบริษัท Blackrock ที่มีมูลค่ามูลค่ากว่า 9.5 ล้านล้านดอลลาร์ ยื่น Filing เพื่อเสนอขายกองทุนดังกล่าว ให้แก่ลูกค้า
หลายบริษัทที่เปิดกองทุนนี้ช่วงแรกจะมีความพิเศษคือค่าธรรมเนียมในการซื้อขายกองทุน ที่ตกลงกันว่าจะลดค่าธรรมเนียมไปที่ 0% เพื่อแย่งส่วนแบ่งในตลาด และภายหลัง 3-6 เดือนก็เริ่มมีการปรับค่าธรรมเนียนเพิ่มขึ้น โดยกองทุนทั้ง 11 กองทุนก็มีรายชื่อดังนี้ โดยเรียงค่าธรรมเนียมจากน้อยไปหามาก ไปหาซื้อกันได้
ที่มา: เปิดรายชื่อ Spot Bitcoin ETF หลัง ก.ล.ต. สหรัฐฯ อนุมัติจัดตั้งอย่างเป็นทางการ [4]
ชัยชนะครั้งใหญ่ที่จะเป็นการทำให้ บิตคอยน์ ฟื้นตัว และผลักราคา BTC ให้สูงต่อเนื่อง และยังลดอัตราการลงมาได้อีกด้วย ซึ่งประโยชน์หรือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบคริปโตและกับบิตคอยน์เองก็จะมีอยู่ 4 ประการด้วยกัน
ตัวกองทุน spot นี้สามารถที่จะดึงดูดนักลงทุนตัวใหญ่หรือวาฬ ที่เคยลังเลกับตลาดคริปโตเคอร์เรนซีให้หันกลับมาสนใจได้จากความเชื่อถือได้ขึ้นมา แถมยังมีการกำกับดูแล และการเข้ามาก็ยังสร้างสภาพคล่องให้ตลาดคริปโตในภาพรวมได้อีกด้วย
มีการกำกับดูแล และมีสเกลใหญ่ๆ ในการเข้าถึงได้ของนักลงทุนสถาบัน โดยผ่านตัวกองทุน ETF ดังกล่าวนี้ และด้วยเหตุผลนี้ มันจึงอาจลดผลกระทบของการซื้อขายแบบเก็งกำไรไปได้เยอะ และเป็นการนำสมดุลมาสู่ตลาดการซื้อขายมากขึ้นได้
การอนุมัติ จาก ก.ล.ต. คือกุญแจสำคัญในการทำให้ผู้คนส่วนมากยอมรับ และเข้าถึงตัวบิตคอยน์ได้มากขึ้น โดยจะถูกมองว่าเป็นสัญญาณการยอมรับสกุลเงินดิจิทัลจากระบบการเงินแบบดั้งเดิม การถูกมองแบบนี้ก็จะสามารถดึงดูดทั้งนักลงทุนน้อยใหญ่ ทั้งสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยเป็นวงกว้าง
แน่นอนว่ามันจะส่งผลกระทบกับราคาของ Btc ถึงจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุน ETF อาจทำให้ราคาของ Bitcoin สูงขึ้นได้และสังเกตได้จากกองทุนทั้ง 1 กองทุนนี้เลย แต่อย่างไรการขึ้นลง และความผันผวนก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย อย่างความนิยมที่เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่น สงครามในช่วงนี้ และ Bitcoin Cycle อย่างการฮาฟวิ่ง
ที่มา: Bitcoin ETF คืออะไร? ทำไมถึงเป็นจุดเปลี่ยนของเกมกระดานคริปโต [5]
บิตคอยน์ ฟื้นตัว การมาของบิตคอยน์เหมือนดั่งเคย ที่เป็นการเพิ่มมูลค่าขึ้นหลังจากการมาของ วัฏจักรบิตคอยน์ฮาฟวิ่ง ที่จะมีการปรับราคาขึ้นหลายเท่าก่อนจะลงมาแต่ในภาพรวมบิตคอยน์ก็มีกราฟสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งครั้งนี้คาดว่าจะเพิ่มแรงหนุนให้สูงไปอีก ด้วยกองทุน ETF ที่ซื้อสะสมไว้กว่า 11 กองทุน ให้ความต้องการเพิ่มขึ้นในช่วงฮาฟวิ่งนี้ด้วย
[1] ฐานเศรษฐกิจ. (February 27, 2024). Bitcoin กลับมายืนเหนือ 2 ล้านบาท ครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี!. Retrieved from thansettakij
[2] กรุงเทพธุรกิจ. (April 15, 2024). เจาะลึก Bitcoin halving 4 ปีมีครั้ง ปรากฏการณ์นี้จะทำให้ราคารุ่งหรือร่วง?. Retrieved from bangkokbiznews
[3] bitkub. (December 7, 2023). ปรากฏการณ์ Bitcoin Halving คืออะไร?. Retrieved from bitkub
[4] finnomena. (April 15, 2024). เปิดรายชื่อ Spot Bitcoin ETF หลัง ก.ล.ต. สหรัฐฯ อนุมัติจัดตั้งอย่างเป็นทางการ. Retrieved from finnomena
[5] กรุงเทพธุรกิจ. (January 11, 2024). Bitcoin ETF คืออะไร? ทำไมถึงเป็นจุดเปลี่ยนของเกมกระดานคริปโต. Retrieved from bangkokbiznews