เนื่องจาก จื่อหนานเจิน หรือเข็มทิศของทาง ชาวจีนโบราณ ซึ่งได้คาดการณ์ว่ามีประวัติยาวนานมามากกว่า 2,000 ปี โดยรูปร่างคล้ายกับช้อน ซึ่งในสมัยนั้นจะใช้เป็นตัวนำทาง ที่ถือว่ามีความแม่นยำที่สุดในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเดินทางบนเรือ หรือ เดินทางในป่าใหญ่ ก็สามารถหาเส้นทางไปต่อได้ เป็นต้น
ซึ่งจะมีการอธิบายที่เกี่ยวกับ จื่อหนานเจิน หรือเรียกว่า ซือหนาน โดยมีหน้าที่ที่เป็นตัวนำทาง เพื่อจะเป็นการนำทางไปสู่เส้นที่ ที่ตนเองอยากไป และทักษะของเข็มทิศนั้นจะสามารถหมุนได้อย่างอิสระ ซึ่งต่อมาก็ถือได้ว่าเข็มทิศรูปแบบ นิยมอย่างมากในกลุ่มคนเดินเรือ [1]
โดยต่อมาจึงส่งผล ให้การเดินเรือนั้นมีความสำคัญอย่างมาก โดยเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สำคัญของเทคนิคด้านการเดินเรือ จึงทำให้เศรษฐกิจการขนส่งทางเรือได้รับการพัฒนาอย่างสูงขึ้น ได้แก่ขนส่ง งาช้างดำ และ อาหารต่างๆ พร้อมกับเหล่านักเดินเรือก็ได้เอาการเดินเรือด้วยเข็มทิศ ไปกระจายแพร่หลาย ในหลายๆ พื้นที่
โดย ประวัติความเป็นมา ของจื่อหนานเจิน หรือ เข็มทิศซือหนาน นั้นจะต้องย้อนกลับไปที่ยาวนานมากกว่า 2,000 ปี ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในยุคของจั้นกว๋อ แต่เป็นที่รู้จักกันเป็นจำนวนมาก ด้วยโคลัมบัสที่เป็นนักเดินเรือ คนแรกที่สามารถแล่นไปทั่วโลก จนพบทวีปอเมริกา
ซึ่งเหล่าผู้คนก็สงสัยว่า เพราะเหตุใดเขาถึงสามารถค้นพบทวีปอเมริกา หรือ เดินทางทั่วโลกได้ ซึ่งก่อนที่โคลัมบัสจะได้เดินทางนั้น ก็มีชาวจีนในราวๆ 70 ก่อนหน้านั้น ได้เป็นเขาผู้นี้ที่มีนามว่า เจิ้งเหอ ซึ่งได้นำเข็มทิศมาใช้กับการ เดินเรือ ในช่วงสงครามตอนนั้นๆ [2]
โดยจื่อหนานเจิน จะประกอบไปด้วยลักษณะที่คล้ายกับ จาน และ ช้อน ซึ่งลักษณะช้อนนั้นจะมีรูปร่างเรียบพร้อมกับความมัน โดยจานที่รองช้อนนั้นจะมีชื่อว่า ตี้ผาน หรือ จานบ่งบอกทิศทาง โดยจะทำขึ้นมาจากทองแดง หรืออาจจะเป็น ไม้ โดยส่วนช้อนนั้น จะสามารถหมุนและ หยุด เพื่อที่บ่งบอกทิศทาง
โดยช้อนที่บ่งบอกทิศจะมีชื่อว่า ซือหนาน หรือ เข็มชี้ทิศใต้ โดยหลังจากนั้นก็ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านเข็มทิศได้เริ่มประดิษฐ์เข็มทิศแบบใหม่ ที่สามารถตั้งขึ้นได้ โดยจะมีชื่อเรียกว่า จื่อหนานกุย (เต่าชี้ทิศ) และ จื่อหนานอี๋ว์ (ปลาชี้ทิศ) สามารถคลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ digitalschool.club
โดยเข็มทิศแบบดั้งเดิม อย่างจื่อหนานเจิน ได้มีการแพร่กระจายไปสู่ทวีปอเมริกา ด้วยนักเดินเรือชาวจีน ที่ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน ซึ่งก็ถือว่าการแพร่กระจายเข็มทิศให้กับชาวยุโรป ก็ได้เริ่มการพัฒนาให้มีความทันสมัยมากขึ้น ด้วย ฝีมือชาวยุโรปที่ได้รับมาจากชาวจีน
โดยเป็นวัดที่ของ จื่อหนานกงไต้หวัน ที่เป็นวัดขอพรสำหรับเทพพระเจ้าโชคลาภแถมคนส่วนใหญ่ยังบอกได้ว่าเป็นวัดที่ ขอเงินขอพรได้ ส่วนใหญ่เหล่าพ่อค้าจะนิยมที่ชอบเข้าไปขอพรเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อกันว่าวัดนี้จะช่วยทำมาค้าขายขึ้น
ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ ประเทศไต้หวัน ในเมืองฮุยชาน บริเวณหัวเมืองน่าน บนถนนอุปทาน ในเลขที่ 40 โดยถือว่าเป็นวัดแห่งหนึ่งที่เป็น 1 ใน 3 ของวัดที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน นอกจากการขอพรแล้วนั้นยังมี การจำหน่ายของที่ระลึกอย่างจื่อหนานเจิน หรือเข็มทิศนั้นเอง [3]
โดย เข็มทิศชนิดนี้นั้น จะมีความพิเศษเรื่องของความทนทาน ที่สามารถทนได้ทุกสภาพอากาศ โดยทักษะพิเศษจะเป็นการบ่งบอกถึงทิศทางที่จะไป ซึ่งจะระบุได้บนช้อนข้างบน เพื่อที่จะรับรู้ทิศทางที่จะเดินไป ซึ่งยังเป็นสิ่งพิเศษสำหรับเข็มทิศชนิดนี้ เป็นต้น
แถมยังได้ถูกพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อโลกได้ผ่านเวลาไป ซึ่งยังไม่หมดเท่านั้นยังเพิ่มทักษะต่างๆตามเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาเข็มทิศแบบนี้ โดยยังทำให้ขนาดในการพกพาได้เล็กลง เพื่อเพิ่มความสะดวกสะบาย ในการหยิบจับ เอาออกมาใช้ในช่วงต่างๆ
สรุป จื่อหนานเจิน นั้นจะมีการอธิบายเกี่ยวกับเข็มทิศในลักษณะนี้ พร้อมกับบ่งบอกถึงประวัติความเป็นมา และ ลักษณะที่สำคัญอย่างโดดเด่น ซึ่งยังไม่หมดเท่านั้นยังมีการแพร่กระจาย ของเข็มทิศรูปแบบนี้ในหลากหลายทวีป รวมถึงการแนะนำสถานที่ ที่มีจื่อหนานเจิน เป็นต้น
[1] salika. (February 16, 2020). กระดาษ-แท่นพิมพ์-เข็มทิศ. Retrieved from salika
[2] board.postjung. (November 11, 2012). เข็มทิศ. Retrieved from board.postjung
[3] wonderfulpackage. (2024). ขอเงินได้เงิน. Retrieved from wonderfulpackage
เนื่องจาก งาช้างดำ สำรวจวัตถุโบราณ ที่เป็นเกร็ดความรู้สำคัญ ของสาระที่ควรรู้ ซึ่งเดิมแล้วนั้นจะถือว่าเป็นสมบัติที่อยู่คู่บ้านคู่เมือง ในหลายชั่วอายุคน โดยจะมีลักษณะที่ทรงความสง่างามอย่างโดดเด่น โดยจะเป็นงาช้างที่มีความยาว และน้ำหนักที่ไม่มาก พร้อมกับได้จารึกอักษรธรรมของจังหวัดล้านนา
โดยคาดการณ์ว่า งาช้างดำ นั้นจะเป็นสมบัติอันทรงคุณค่า ที่ถือว่าเป็นวัตถุโบราณคู่บ้านคู่เมือง ของเหล่าชาวไทย โดยจะมีลักษณะคล้ายกับ งาปลี พร้อมกับสีน้ำตาลเข้ม และประกอบอักษรล้านนาที่ถูกจารึกไว้ในงาช้าง
ซึ่งยังอักษรที่ถูกจารึกไว้นั้น จะถอดความหมายที่ว่า สิ่งนี้หนักได้หนึ่งหมื่นห้าพัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีน้ำหนักประมาณ 18 กิโลกรัม โดยเดิมแล้วนั้นจะเป็นสมบัติที่ได้รักษาสืบต่อกันมา มาอย่างยาวนาน โดยจากการศึกษาไว้ว่าเป็นงาช้างที่ถูกถอดออกมาจากตัวช้าง สามารถคลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ finearts
ซึ่งงาช้างชนิดนี้นั้น จะมีลักษณะที่มีความคล้ายกับ งาปลี โดยมีความยาวประมาณ 97 เซนติเมตร พร้อมกับส่วนที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 47 เซนติเมตร ส่วนที่ลึกที่สุดได้ประมาณ 14 เซนติเมตร โดยจะมีสีออกน้ำตาลเข็มแต่ก็ไม่ถือว่าดำสนิท
เพราะฉะนั้นก็จะมีน้ำหนักประมาณ 14 กิโลกรัม โดยจากที่เราได้กล่าวไปข้างต้นนั้น ว่างาช้างชนิดนี้ได้ถูกถอด มาจาก ช้างที่มีอายุประมาณ 60 ปีซึ่งมีอายุที่มากแล้วก็ใกล้เคียงกับวัตถุโบราณอีกชิ้นที่มีชื่อว่า จื่อหนานเจิน โดยนักศึกษาที่ได้ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ คาดการณ์ว่าเป็น งาช้างของช้างที่อยู่ด้านซ้าย เป็นต้น
โดยงาช้างดำ นั้นจะเริ่มต้นที่ประมาณ ปี 2353-2368 โดยนายพรานคนหนึ่งใน เมืองน่านที่ได้เข้าป่าไป ล่าสัตว์จนได้เข้าถึงเขตแดนระหว่าง ไทยและ เชียงตุง ซึ่งได้พบกับซากของช้างตัวสีดำสนิทที่เสียชีวิตแล้ว เป็นเวลาเดียวกันที่นายพรานได้มาพบเจอ โดยนายพรานท่านนั้น ก็ได้นำมาถวายต่อเจ้าเมืองของตนเอง
ซึ่งเรื่องเล่าที่ ต่อจากการพบเจอนั้น โดยในสมัยก่อนนั้นได้บอกว่า เมื่อ งาช้างทั้งสองอยู่ในที่ที่เดียวกัน จึงทำให้เกิดเมืองนั้นเกิดความเดือดร้อนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การถูกล่าอาณานิคม พร้อมกับพืชที่เจริญเติบโตได้ยาก จึงควรที่จะนำมาแยกออกจากกัน ในสองจังหวัดระหว่าง น่าน และ เชียงตุง เป็นต้น
งาช้างดำนั้น จะถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี โดยจะแสดงถึง ความจงรักภักดี และ การปกครองบ้านเมือง โดยจะส่งเสริมให้ บ้านเมืองมีการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ซึ่งยังเป็นสมบัติที่ต้องเก็บรักษาแบบสืบต่อมากันอย่างยาวนาน ซึ่งในอดีตตอนที่ถูกจารึกไว้
ได้บ่งบอกว่า มีงาช้างชนิดนี้ไว้ จะส่งผลให้มีความเจริญรุ่งโรจน์ ให้แก่เมืองนี้พร้อมกับผลผลิตที่เพิ่มพูนงอกออกในปริมาณมากมาย โดยยังส่งผลให้การค้าของเมืองนั้นๆดี จึงทำให้การเกษตรมีความเจริญอย่างมาก ถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ ใยช่วงนั้นๆ
งาช้างประดับกระจก
ที่มา: งาช้าง40cmแกะสลัก [1]
งาช้างแกะสลักรูปมังกร
ที่มา: งาช้าง งาช้างคู่ [2]
โดย พิพิธภัณฑ์ ที่มีงาช้างดำ จะมีนามว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองน่าน ซึ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่จัดแสดงประเภท ชีวประวัติ, ประวัติศาสตร์ และ โบราณคดี โดยเป็นกรมศิลปากร ซึ่งจะตั้งอยู่ที่ จังหวัดน่าน ในอำเภอเมือง ตำบลในเวียง บนถนนผากอง มีค่าเข้าอยู่ที่ 20 บาท และ 100 บาทของชาวต่างชาติ [3]
สรุป งาช้างดำ เป็นการอธิบายเกี่ยวกับงาช้าง พร้อมกับบ่งบอกถึงลักษณะของงาช้าง ซึ่งยังไม่หมดเท่านั้นยังมีการอธิบายเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของงาช้าง พร้อมกับความหมายของงาช้าง และการแนะนำของประดับที่เป็นงาช้าง รวมถึงการรีวิวพิพิธภัณฑ์ที่มีงาช้างดำอยู่ข้างใน
[1] lazada. (2024). งาช้าง40cmแกะสลัก. Retrieved from lazada
[2] lazada. (2024). งาช้าง งาช้างคู่. Retrieved from lazada
[3] museumthailand. (November 19, 2019). พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน. Retrieved from museumthailand
เนื่องจาก โถสำริดลายเทาเทีย นั้นจะนิยมมีรูปลักษณ์ที่พิเศษ พร้อมกับหน้าที่ที่นำมาใช้ก็มีความเฉพาะตัว ซึ่งในสมัยก่อนนั้นวัตถุโบราณชนิดนี้ก็นิยมใช้เป็นอย่างมาก แถมยังเป็นของที่สามารถบ่งบอกถึงฐานะในสมัยก่อน ของทางประเทศจีน
โดย โถสำริดลายเทาเทีย หรือจะมีชื่อเรียกว่า ติ่ง (Ding) ซึ่งถ้าเป็นคำเขียนของจีนจะเป็นตัวอักษรแบบนี้ 鼎 ซึ่งเป็นภาชนะชนิดหนึ่งที่เป็น เนื้อสำริด ซึ่งจะเหมาะสมกับการใส่อาหาร หรือ ใส่เครื่องดื่ม ซึ่งยังไม่หมดเท่านั้นยังเป็นภาชนะ ที่มีความโดดเด่นด้วยลักษณะภายนอก เป็นต้น
ซึ่งจะเริ่มจาก คำเขียนภาษาจีนที่เป็นคำว่า ติ่ง (鼎) โดยคำนี้นั้นจะสื่อถึง ภาชนะหุงต้มชนิดที่มีขาตั้ง พร้อมกับที่มีหูจับ ซึ่งในยุคสมัยนั้นจะภาชนะชนิดแบบนี้ที่ใกล้เคียงกัน แต่จะแตกต่างด้วยจำนวนขาตั้ง ที่มีขาตั้ง 3-4 ขา ในช่วงสมัยก่อน จะนิยมใช้ในแวดวงชนชั้นสูง
โดยครั้งแรกที่สร้างขึ้น จะมีความสูงประมาณ 113 เซนติเมตร พร้อมกับเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 87 เซนติเมตร ตรงหูจับจะมีความสูงประมาณ 36.5 เซนติเมตร และความลึกประมาณ 52 เซนติเมตร ตรงขานั้นจะสูงได้ประมาณ 67 เซนติเมตร พร้อมน้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัม
โดยความเชื่อเรื่องเล่าที่ เกี่ยวกับโถสำริดลายเทาเทีย หรือ ติ่ง (鼎) ซึ่งในกษัตริย์แห่งราชวงศ์เซี่ย ได้ทำการหล่อภาชนะขึ้นมาไว้เพียง 9 ใบ โดยจะเป็นสัญลักษณ์ที่แทนความหมายของ 9 นคร หรือ 9 แคว้นของประเทศจีน
โดยต่อมาก็ได้ยกย่องให้ ติ่ง 9 ใบเป็นตัวแทนของสัญลักษณ์แห่งอำนาจการปกครอง หลังจากนั้นก็ได้เริ่มสร้างขึ้นอีกครั้ง ในเมืองหลวงของแต่ละราชวงศ์ หรือเรียกว่าการขยายสาขาสำหรับภาชนะชนิดนี้ ภาชนะชนิดนี้ก็กลายเป็นธรรมเนียมที่สำคัญในการนำมาใช้ สามารถคลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ goozhuqi
เนื่องจาก ภาชนะชนิดนี้ จะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง ความมั่นคง ในสำนวนของจีน พร้อมกับเป็นคำนี้ที่พูดถึง การยืนตระหง่านเพื่อความมั่นคง โดยสามขานั้นจะบ่งบอกถึง การร่วมแรงเคียงคู่กันพร้อมกับบอกถึง การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสามฝ่าย
ซึ่งถ้าเป็นฐานะของตนเอง ภาชนะชนิดนี้ จะแสดงถึง ฐานะทางด้านสังคม โดยส่วนใหญ่ภาชนะชนิดนี้ จะนิยมใช้กับ กลุ่มทหารชั้นสูง หรือ ราชวงศ์ รวมถึงกษัตริย์ จึงจะสามารถแสดงถึง ฐานะของผู้ใช้ที่ใช้ภาชนะชิ้นนี้ โดยในยุคนั้นจะเป็นเรื่องยากมากกับผู้คนที่มีฐานะปกติ ที่จะใช้ภาชนะชิ้นนี้
โดยโถสำริดลายเทาเทีย ชนิดนี้จะเหมาะสมกับการนำมาใช้ใน พิธีกรรม 3 แบบ ได้แก่ พิธีกรรมกู่ที่เหมาะสมกับเหล่าทหาร และ พิธีกรรมกี่จือ เหมาะสมกับการผูกข้อมือเรียกขวัญ โดยได้ใช้ครั้งแรกเริ่มต้นช่วงสมัยเอ้อหลี่โถว ซึ่งมีหน้าที่และลักษณะที่คล้ายกับ จอกเหล้าสามขา
ซึ่งการใช้กับพิธีกรรมต่างๆแล้วนั้น ยังนิยมใช้กับการใส่อาหาร หรือนำมาใช้เป็นภาชนะที่เหมาะสมกับการปรุงอาหาร พร้อมกับเหมาะสมกับการ ใส่ไวน์ หรือเหล้าเพื่อเป็นภาชนะในการนำมาดื่ม โดยจะเริ่มนิยมมาใช้ในช่วงสมัยซาง เป็นต้น [1]
พิพิธภัณฑ์กู้กง หรือเรียกว่า พิพิธภัณฑ์จงซาน
ที่มา: พิพิธภัณฑ์กู้กง ไต้หวัน [2]
พิพิธภัณฑ์มณฑลอานฮุย (Anhui Museum)
ที่มา: Anhui Museum [3]
สรุป โถสำริดลายเทาเทีย หรือเรียกว่า ติ่ง (Ding) ที่ทางเราได้บ่งบอกถึงลักษณะ และ อธิบายเกี่ยวกับความเชื่อของภาชนะชนิดนี้ โดยจะมีนโยบายในการสร้างโถสำริดในการบ่งบอกถึงฐานะทางด้านสังคม พร้อมกับแนะนำสถานที่พิพิธภัณฑ์ที่มีโถสำริดสามขา เป็นต้น
[1] web.archive. (2004-2024). More about Bronze Vessels. Retrieved from web.archive
[2] arsomsiam. (2012-2024). พิพิธภัณฑ์กู้กง ไต้หวัน. Retrieved from arsomsiam
[3] trip. (2024). Anhui Museum. Retrieved from trip
เนื่องจาก จอกเหล้าสามขา มรดกโลกยุคโบราณ โดยจะเป็นบทความที่นำเสนอเกี่ยวกับ จอกเหล้าที่มีขาตั้งเป็น 3 ขา โดยจะเป็นลักษณะที่โดดเด่น พร้อมกับสามารถนำมาใส่เครื่องดื่มต่างๆ โดยจะนิยมใช้อย่างมากในสมัยก่อน ของประเทศจีน
โดยจอกเหล้าสามขา หรือจะเรียกอีกชื่อว่า เจว๋ (jue) ซึ่งจะมีภาษาจีนที่เขียนด้วยอักษร 爵 ซึ่งเป็นภาชนะที่สำคัญของประเทศจีน แถมยังมีลักษณะที่เหมือนกับเหยือกน้ำ แต่ก็จะมีลักษณะที่โดดเด่นด้วยขาตั้งทั้ง 3 ขา พร้อมกับแสดงถึงความ สง่างาม และ ชีวิตชีวา
ซึ่งลักษณะ จอกเหล้าสามขา ที่จะมีลักษณะเป็น 3 ขา โดยตรงปลายขอบของจอกเหล้า จะมีลักษณะที่เป็นเหยือก โดยรูปทรงนั้นจะเป็นทรงรี ที่รองรับขาทั้งสามที่กางออกได้ พร้อมกับจะมีหูจับแบบห่วง โดยบริเวณด้านข้างจะมีส่วนที่ยื่นออกมาสองเสา บนภาชนะ สามารถคลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ britannica
ซึ่งจอกเหล้าสามขา หรือ เจว๋ (jue) นั้นจะนิยมใช้ในการใส่เครื่องดื่ม พร้อมกับยังเป็นภาชนะที่ทนทานความร้อน ในการเผาไหม้ โดยภาชนะนั้นจะไม่เกิดความเสียหายเลยทีเดียว แถมยังเป็นของที่มีคุณค่าอย่างมากสำหรับยุคสมัยของจีน ซึ่งลักษณะนั้นจะมีความคล้ายกับ โถสำริดลายเทาเทีย
ซึ่งเป็นภาชนะที่มีต้นกำเนิด ในสมัยหินใหม่ ด้วยฐานะเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงประมาณ 2,500-2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยภาชนะชนิดนี้ได้กลายเป็นรูปแบบสำริดที่เหมาะสมกับพิธีกรรมต่างๆ โดยหลังจากนั้นเมื่อผ่านไป 2,000 ปี ก็ได้เริ่มพัฒนาภาชนะชนิดนี้ขึ้นในจีน เป็นต้น
ซึ่งนักผู้เชี่ยวชาญได้บ่งบอกว่า ภาชนะชนิดนี้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ซาง โดยได้ระบุไว้ในจารึก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญนั้นจะเหมาะสมกับ เครื่องดื่มแบบอุ่น และ ไวน์ หรืออาจจะนำมาเป็นภาชนะที่ใช้เป็นเครื่องอุ่นโดยการเผาไหม้ [1]
ซึ่ง จอกเหล้าสามขาหรือจะเรียกว่า เจว๋ (jue) ที่เขียนเป็นอักษรจีนด้วยคำว่า 爵 ซึ่งจะเหมาะสมกับการนำไปใช้กับ เครื่องดื่มประเภท ไวน์ หรือ เหล้า แถมยังเป็นภาชนะที่นำมาเผาไหม้ เพื่อที่จะอุ่นอาหารให้มีความร้อน ในการรับประทาน เพื่อเพิ่มอรรถรสในการประทานอาหาร
โดยเหล่าทหาร หรือ เหล่าผู้ดีชั้นสูงนั้นจะชอบ และนิยมใช้เป็นจำนวนมาก แถมยังนิยมใช้ต่อเนื่องมาเป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของยุคหินสู่การผลิตยุคเหล็ก รวมถึงยังสามารถเอาไว้ไหว้บูชาเหล่าองค์เทพต่างๆได้อีกด้วย
ซึ่ง ภาชนะประเภทนี้ จะมีการจัดแสดงโดย The Met Fifth Avenue ซึ่งได้ระบุไว้ว่าภาชนะชนิดนี้ถูกหล่อขึ้น ในการใช้แม่พิมพ์แบบเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งสถานที่ที่จัดแสดงของโบราณนี้ จะมีข้อมูลที่เกี่ยวกับวัตถุโบราณ มากกว่า 35,000 ชิ้น
โดยแต่ชิ้นนั้นจะ มีอายุที่ราวๆตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 จนถึงศตวรรษที่ 21 โดยยังนับได้ว่าเป็นมรดกโลกที่จัดให้เป็นคอลเลกชันที่ใหญ่ที่สุด ในแถบอารยธรรมของทวีปเอเชียโดยแต่ละชิ้นนั้นถือได้ว่ามีผลงานที่โดดเด่นอย่างยิ่ง เพื่อตอบสนองความสัมผัสกับประเพณีทางด้านศิลปะ ทั้งหมดของครึ่งโลก [2]
เนื่องจาก ทางเราจะมารีวิวสถานที่ หรือเรียกว่า พิพิธภัณฑ์ ที่จะเก็บของหายาก หรือ ของสะสมที่เป็นมรดกโลก โดยจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีนามว่า พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน โดยจะตั้งอยู่ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเมืองนครนิวยอร์ก ทิศทางตะวันออก ของทางเซ็นทรัลพาร์คได้ก่อตั้งเมื่อปี 1870
ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่มี งานศิลปะที่มากกว่า สองล้านชิ้น โดยผู้เชี่ยวชาญบ่งบอกกันว่าเป็น หอศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจะถูกรวบรวมวัตถุศิลปะในยุคคลาสสิก ของประเทศอียิปต์, ประเทศจีน ซึ่งส่วนมากจะเป็นมรดกโลกของทางแถบเอเชีย เป็นต้น [3]
สรุป จอกเหล้าสามขา ซึ่งเป็นโบราณวัตถุที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง พร้อมกับที่ทางเราบ่งบอกถึง ลักษณะและการกำเนิดของภาชนะชิ้นนี้ โดยยังไม่หมดเท่านั้นยังมีสถานที่ที่จัดแสดงภาชนะแบบนี้ พร้อมกับบอกถึงพิพิธภัณฑ์ที่มีมรดกโลกเก็บไว้มากมาย เป็นต้น
[1] Wikipedia. (June 3, 2023). Jue (vessel). Retrieved from Wikipedia
[2] metmuseum. (2000–2024). Wine warmer (Jue). Retrieved from metmuseum
[3] Wikipedia. (September 7, 2023). พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน. Retrieved from Wikipedia
ภาพวาดโมนาลิซ่า เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนแผ่นไม้ป็อปลาร์ขนาด 77 × 53 ซม. [1] วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ศิลปินเอกชาวอิตาลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง ค.ศ. 1503–1519 เป็นภาพที่มีชื่อเสียง โด่งดังไปทั่วโลก เป็นที่รู้จักในฐานะภาพของสุภาพสตรี
เธอเป็นหญิงสาวชาวอิตาลี จากครอบครัวขุนนางตระกูลเก่าแก่ แต่ในช่วงที่เลโอนาร์โด ดาวินชี เริ่มวาดภาพเธอ ประมาณปี ค.ศ. 1503 ครอบครัวของเธอ ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนในอดีตแล้ว [2]
ลิซ่าแต่งงานกับ ฟรานเชสโก เดล จิโอคอนโด (Francesco del Giocondo) พ่อค้าผ้าผู้มั่งคั่ง ในปี ค.ศ. 1495 ตอนนั้นเธออายุเพียง 15 ปี ภาพวาดโมนาลิซ่า จึงถูกวาดขึ้น หลังจากเธอแต่งงาน และมีลูกชายคนแรก ชื่ออันเดรียแล้ว
การที่ฟรานเชสโกจ้างเลโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินชื่อดังในยุคนั้น มาวาดภาพเหมือนของภรรยา แสดงให้เห็นถึงฐานะทางสังคมที่มั่งคั่ง และรสนิยมที่ดีของเขา ภาพวาดชิ้นนี้ จึงเปรียบเสมือน สัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง และความสำเร็จ ของตระกูลเดล จิโอคอนโด
รอยยิ้มอันเป็นปริศนาของโมนาลิซ่า เป็นหนึ่งในปริศนา ทางศิลปะที่ผู้คนทั่วโลก สนใจมาช้านาน รอยยิ้มของเธอ มีลักษณะคลุมเครือ บ่งบอกได้ยากว่า เธอรู้สึกอย่างไร บางคนมองว่า เธอยิ้มอย่างมีความสุข [3] บางคนมองว่า เธอเศร้า บางคนมองว่า เธอยิ้มแบบเจ้าเล่ห์
ดาวินชีใช้เทคนิคสฟูมาโต้ (Sfumato) [4] ใช้เทคนิคนี้ช่วยสร้างมิติ และความลึกให้กับภาพ ทำให้รอยยิ้มของ ภาพวาดโมนาลิซ่าดูคลุมเครือ ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือ มุมมองของผู้ชม มีผลต่อการตีความรอยยิ้มของโมนาลิซ่า เมื่อมองภาพจากมุมต่างๆ รอยยิ้มของโมนาลิซ่า จะดูเปลี่ยนแปลงไป
เรื่องราวการโจรกรรม ภาพวาดโมนาลิซ่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2454 [5] (ค.ศ. 1911) ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสผู้ก่อเหตุ คือ วินเซนโซ่ เปรูจา ชายหนุ่มชาวอิตาลี ที่ทำงานเป็นช่างติดตั้งกระจกในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เขาใช้เวลาหลายเดือน ศึกษาเส้นทาง และวางแผนอย่างรอบคอบ
ในวันเกิดเหตุ เปรูจาเข้าพิพิธภัณฑ์ ในช่วงเช้าตรู่ รอจนพิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการ เขาถอด ภาพวาดโมนาลิซ่า ออกจากกรอบ โดยอาศัยช่วงที่ไม่มีผู้คน ซ่อนภาพไว้ใต้เสื้อแจ็คเก็ต และเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ อย่างง่ายดาย เปรูจานำภาพไปเก็บไว้ ที่อพาร์ทเมนต์ของเขา สองปีต่อมา เขาพยายามขายภาพวาด ให้กับพ่อค้าศิลป์ ชาวอิตาลีในฟลอเรนซ์ แต่สุดท้ายถูกตำรวจจับกุมได้
ภาพวาดโมนาลิซ่า มีราคาแพงมหาศาล ยากที่จะประเมินค่าได้ ปัจจุบันประเมินไว้ว่า มีมูลค่ากว่า 782 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [6] หรือประมาณ 27,000 ล้านบาท สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ภาพวาดนี้ มีราคาแพง มีดังนี้
นอกจากนี้ ยังมี นิทรรศการดิจิทัลภาพวาดโมนาลิซ่า ชื่อว่า Da Vinci Alive ที่ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม - 31 กรกฎาคม 2567
นิทรรศการนี้ จะนำเสนอภาพวาดโมนาลิซ่า ในรูปแบบดิจิทัล 360 องศา พร้อมทั้งข้อมูล และเรื่องราวเกี่ยวกับภาพวาด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการชมภาพวาดโมนาลิซ่า ในรูปแบบที่แปลกใหม่ ที่ไม่ต้องเดินทางไปยังกรุงปารีส
ภาพวาดโมนาลิซ่า กลายเป็นภาพวาด ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก มาชมความงดงาม และปริศนาของภาพวาด มีการวิเคราะห์ ตีความ ค้นคว้าที่มาของภาพวาดมากมาย
[1] wikipedia. (February 11, 2024). ภาพที่โด่งดังไปทั่วโลก. Retrieved from wikipedia
[2] afterklass. (January 17, 2022). โมนาลิซ่า คือใคร. Retrieved from afterklass
[3] bangkokbiznews. (April 18, 2024). รอยยิ้มปริศนาของโมนาลิซ่า. Retrieved from bangkokbiznews
[4] thaiware. (2024). เทคนิคการวาดภาพ. Retrieved from thaiware
[5] facebook. (August 21, 2021). ภาพวาด ถูกโจรขโมย. Retrieved from facebook
[6] ngthai. (May 15, 2023). ทำไม ภาพวาดโมนาลิซ่า จึงมีราคาแพง. Retrieved from ngthai